tag:blogger.com,1999:blog-39580872547408365312024-02-06T22:16:55.126-08:00คนที่ไม่เคยผิดพลาด...จะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ คนที่ไม่เคยต่อสู้...จะมีชีวิตอยู่อย่างอ่อนแอนางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.comBlogger20125tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-84875549550676726462009-02-05T23:26:00.000-08:002009-02-05T23:27:36.243-08:00ข้อสอบระบบเรือข่ายแบบไร้สายเรื่อง ระบบเครือข่ายแบบไร้สาย<br />1. ระบบเครือข่ายแบบไร้สายคือ<br />ก. Wireless LANข. ISM<br />ค. Heinrich Hertzง. OFDM<br />2. ใครเป็นคนสรค้างทฤษฎี แม่เหล็กไฟฟ้า<br />ก. เฮน ริค เฮิรตซ์ข. เจมส์ เคิร์ก แม็กแวลล์<br />ค. มาโคนี่ง. มอส เคิร์ก<br />3. จงบอกคำย่อของ Industeial Sciences Medicine<br />ก. IMSข. SME<br />ค. MSIง. ISM<br />4. Direct IR และ Diffuse IR เป็นกลไกลการส่งแบบใด<br />ก. คลื่นอินฟราเรดข. คลื่นวิทยุ<br />ค. คลื่นไมโครเวฟง. ถูกทุกข้อ<br />5. โครงสร้างของมาตรฐาน IEEE 802.11 ประกอบด้วย<br />ก. OFDMข. DSSS<br />ค. MAC และ PHYง. DSSS และ PHSS<br />6. ใน MAC Layer จะมีโปรโตคอลชื่อว่า<br />ก. CA/CSMAข. CSAM/CA<br />ค. APง. CSMA/CA<br />7. Hot spot ทำหน้าที่เป็นอะไร<br />ก. กระจายสัญญาณคลื่นวิทยุ<br />ข. เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่าย<br />ค. ตรวจสอบการทำงาน<br />ง. ถูกทุกข้อ<br />8. รุปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สายมีกี่โหมด<br />ก. 2 โหมดข. 3 โหมด<br />ค. 4 โหมดง. 5 โหมด<br />9. Wireless LAN ถูกพัฒนาขึ้นใน ค.ศ. ใด<br />ก. 1980ข. 1990<br />ค. 1982ง. 1992<br />10. ค.ศ. ใดที่ส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นผลสำเร็จครั้งแรก<br />ก. 1903ข. 1905<br />ค. 1907ง. 1999<br />11. คลื่นอินฟราเรดที่ใช้ในเครือข่ายไร้สายจะมีคลื่นกี่นาโนเมตร<br />ก. 650-700ข. 850-900<br />ค. 750-800ง. 950-1000<br />12. เทคโนโลยีที่ใช้ใน ULAN จากตอนแรกที่ใช้อินฟราเรดในการรับส่ง ตืมีข้อจำกัดในระยะทางส่งไม่ได้ไกล ต่อมาจึงได้ใช้คลื่นวิทยุในการส่ง มีเทคนิค 2 ชนิด คือ<br />ก. CSMA/CA และ DSSSข. FHSS และ SSID<br />ค. FHSS และ DSSSง. OFDM และ FHSS<br />13. การพัฒนาการของมาตรฐานเครือข่ายไร้สายมีจุดเริ่มต้นและใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ. ใด<br />ก. 19976ข. 1997<br />ค. 1998ง. 1999<br />14. การกระจายของคลื่นวิทยุมีกี่ขั้นตอน<br />ก 5ข. 6ค. 7ง. 8<br />15. สมบัติของคลื่นมีกี่อย่าง<br />ก. 4ข. 5ค. 6ง. 7<br />16. ข้อใดคือการแทรกสอด<br />ก. Refractionข. Ciffraction<br />ค. Inlerfereceง. Perntration<br />17. ข้อใดคือการลดทอนของคลื่น<br />ก. Refractionข.Attenuation<br />ค. Inlerfereceง. Perntration<br />18. หน่วยวัดอัตราการลดทอนหรืออัตราการขยายของกำลังส่งคืออะไร<br />ก. dB (Decibel)ข. dBm (Decibel Milli)<br />ค. dBi (Decibel Isotropic)ง. ไม่มีข้อทุก<br />19. มาตรฐาน IEEE ใดใช้กลไกลการเข้าถึงตัวกลางแบบ CSMA/CA พัฒนากลไกลการส่งแบบ OFDM<br />ก. IEEE 802.11aข. IEEE 802.11b<br />ค. IEEE 802.11gง.. IEEE 802.11c<br />20. ถ้าเราใช้เครือข่ายไร้สายที่มีความี่ 2.4 GHz จะมีอัตราขยายสูงสุดกี่ dBm<br />ก. 25 dBmข. 26 dBm<br />ค. 27 dBmง. 28 dBmนางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-68401761987981939672008-11-06T05:04:00.000-08:002008-11-06T05:13:32.278-08:00ข้อสอบระบบสื่อสารข้อมูล<span style="font-family:arial;">มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ<br /><br />ข้อสอบปลายภาควิชา<br /><br />ระบบการสื่อสารข้อมูล 2/47<br /><br />ตอนที่11.พื้นที่สัญญาณครอบคลุมการทำงานเรียกว่าอะไร<br />ก.AP<br />ค.ESS<br />ข.BSS<br />* ง.DCF<br />2.ข้อใดไม่ถูกต้องในการกล่าวถึง Rang ของความถี่<br />ก. 902 MHz-928 MHz<br />ข.2.400 GHz-204835 GHz<br />ค.5.725GHz-5.855GHz<br />ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข.<br />จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามจากข้อ 3-8 **เขียนคำตอบลงในช่อง ก.<br />A. industry<br />B. Science<br />C. Medical<br />D. 900 MHz<br />E. 2.400 GHz<br />F. IEEE802.11a<br />G. IEEE802.11b<br />H. 54 Mbits<br />I. 2 Mbits<br />J. 11 Mbits<br />K. DSSS<br />L. FHSS<br />M. ISM<br />**F 3. Data Rate สูงสุดที่สามารถส่งข้อมูลได้ใน wireless Lan ที่ใช้ Machanism<br />แบบOFDM<br />**E 4.Radio Frequency ที่ใช้งานเยอะที่สุดใน IEEE802.11<br />**K 5.IEEE802.11ใช้ mechanism แบบใด<br />**K 6.Machanism แบบใดที่มี Data Rate 11 Mbits<br />**M 7. ย่านความถี่ที่อนุญาตให้ได้ในงานอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และการแพทย์<br />8. Radio frequency 2.400 GHz มีกี่ channel<br />ก. 54<br />*ข. 69<br />ค. 79<br />ง. 8<br />9. ในการ hop แต่ละ hop ใช้การ synchronize ต่างกันเท่าไหร่<br />*ก. 0.4 ms per hop<br />ข. 0.45 ms per hop<br />ค. 0.2 ms per hop<br />ง. 0.25 ms per hop<br />10. สถาปัตยกรรมของ Wireless lan ใน mode ใดที่ต้องเดินสาย wire network<br />ก. Ad-hoc<br />ข. Peer to peer<br />*ค. Infrastructure<br />ง. Bss<br />11. Routing protocol มีกี่แบบ อะไรบ้าง<br />ก. 2 แบบ Link state & Distance Vector<br />ข. 2 แบบ Link state & Dynamic<br />*ค. 2 แบบ Dynamic & Static<br />ง. 2 แบบ BGP & SPF<br />12. ข้อใดไม่ใช่ข้อพิจารณาลักษณะของ routing ที่ดี<br />ก. Cost ต่ำ<br />ข. Delay ต่ำ<br />*ค. Space ต่ำ<br />ง. Hop ต่ำ<br />13. Protocol BGP พิจารณาการส่งข้อมูลจากอะไร<br />ก. จำนวนลิงค์<br />ข. ระยะทาง<br />*ค. จำนวน Router<br />ง. ราคาเช่า<br />14. ลักษณะสำคัญของ Routing table ประกอบด้วยอะไรบ้าง<br />ก. ต้นทาง<br />ข. ปลายทาง<br />ค. ต้นทาง ปลายทาง<br />*ง. ต้นทาง โปรโตคอล ปลายทาง<br />15. OSFP (Open Shortest Path First) เป็นชื่อของ<br />ก. Algorithm<br />*ข. Protocol<br />ค. Router<br /><br />16. ชนิดของเส้นใยแก้วนำแสงที่ใช้รับ- ส่งข้อมูลในระยะทางไกล ๆ<br />ก. Grade index Multimode<br />ข. Step index Multimode<br />*ค. Single Mode<br />ง. ถูกทุกข้อ<br />17. แกนกลางที่เป็นใยแก้วนำแสงเรียกว่าอะไร<br />ก. Jacket ค. Claddin<br />*ข. Core ง. Fiber<br />18. แสงที่เดินทางในเส้นใยแก้วนำแสงจะตกกระทบตรงมุม คือลักษณะของเส้นใยแบบ<br />ใด<br />ก. Grade Index Multimode<br />*ข. Step Index Multimode<br />ค. Single Mode<br />ง. ถูกทุกข้อ<br />19. แสงที่เดินทางในเส้นใยแก้วนำแสงจะเป็นเส้นตรง คือลักษณะของเส้นใยแก้วแบบ<br />ใด<br />ก. Grade Index Multimode<br />ข. Step Index Multimode<br />*ค. Single Mode<br />ง. ถูกทุกข้อ<br />20. ต้นกำหนดแสง(optical source) ที่มี Power ของแสงเข้มข้น<br />*ก. Laser<br />ข. LED<br />ค. APD<br />ง. PIN-FET<br />21. ข้อใดคือ Fast Ethernet<br />ก. 10base5<br />*ข. 100baseFL<br />ค. 1000baseFX<br />ง. 10GbaseTX<br />22. 10BaseF ใช้สายสัญญาณอะไรในการส่งข้อมูล<br />ก. UTP ค. Coaxial<br />ข. STP * ง. Fiber Optic<br />23. ข้อใดไม่ใช่ Ethernet แบบ 100 mbps<br />ก. 1000BaseT<br />*ข. 100BaseTX<br />ค. 1000BaseX<br />ง. 1000BaseFL<br />24. ขนาด Frame ที่เล็กที่สุดของ Gigbit Ethernet คือ<br />ก. 53 byte<br />ข. 64 byte<br />ค. 128 byte<br />ง. 512 byte<br />25. Ethernet ใช้ protocol ใดในการตรวจสอบการส่งข้อมูล<br />ก. LLC<br />ข. CSMA/CA<br />*ค. CSMA/CD<br />ง. ALOHA<br />26. Ethernet 10baseT ต่อยาวกี่เมตรสูงสุด<br />ก. 80 ม.<br />*ข. 100 ม.<br />ค. 150 ม.<br />ง. 185 ม.<br />27. ใครเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของ Ethernet<br />ก. OSI<br />*ข. IEEE<br />ค. ISO<br />ง. CCITT<br />28. 10Base5 ใช้สาย Coaxial แบบใด<br />ก. Thin<br />*ข. Thick<br />ค. UTP<br />ง. STP<br />29. Fast Ethernet มีความเร็วเท่าใด<br />ก. 10 mbps<br />*ข. 100 mbps<br />ค. 1000 mbps<br />ง. 10 Gbps<br />30. 100Mbps, baseband, long wavelength over optical fiber cable คือมาตรฐาน<br />ของ<br />ก. 1000 Base-LX<br />*ข. 1000 Base-FX<br />ค. 1000 Base-T2<br />ง. 1000 Base-T<br />31. ATM มีขนาดกี่ไบต์<br />ก. 48 ไบต์<br />*ข. 53 ไบต์<br />ค. 64 ไบต์<br />ง. 123 ไบต์<br />32. CSMA พัฒนามาจาก<br />ก. CSMA/CA<br />ข. CSMA/CD<br />ค. CSMA<br />*ง. ALOHA<br />33. Internet เกิดขึ้นที่ประเทศอะไร<br />ก. AU<br />ข. JP<br />*ค. USA<br />ง. TH<br />34. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายข้อมูล หรือ Transport technology<br />*ก. SDH<br />ข. ATM<br />ค. Mobile<br />ง. DWDM<br />35. ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเรียกว่าอะไร<br />ก. CS internet<br />ข. Operator<br />ค. Admin<br />*ง. ISP<br />36. การแจกจ่ายหมายเลขไอพีแอดเดรส ให้กับเครื่องลูกโดยอัตโนมัติเรียกว่าอะไร<br />ก. DNS<br />ข. FTP<br />ค. DHCP<br />*ง. Proxxy<br />37. การถ่ายโอนข้อมูลบนระบบอินเตอร์เน็ตเรียกว่าอะไร<br />ก. DNS<br />*ข. FTP<br />ค. DHCP<br />ง. Proxxy<br />38. โปรโตคอลการสื่อสารที่เป็น offline<br />ก. ICMP<br />ข. TCP<br />ค. UDP<br />*ง. ARP<br />39. การหาเส้นทางการส่งข้อมูลเรียกว่า<br />ก. Routing<br />*ข. Routing Protocol<br />ค. Routing Table<br />ง. Router<br />40. ข้อใดไม่มีในขั้นตอนการทำ server 7 พ.ค 48<br />ก. DHCP<br />ข. DNS<br />ค. FTP<br />ง. Virtual host<br />41. หมายเลข IP Class ใดรองรับการทำงานของ host ได้สูงสุด<br />ก. A<br />*ข. B<br />ค. C<br />ง. D<br />42. อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างชนิดเข้าด้วยกันคือ<br />ก. Hub<br />ข. Switching<br />ค. Modem<br />*ง. Router<br />43. การ set ค่าความสำคัญสูงสุด (High priority) ของ packet เป็นหน้าที่ของ<br />function ใดต่อไปนี้<br />ก. PIFS<br />*ข. SIFS<br />ค. DIFS<br />ง. MIB<br />44. การป้องกันการชนกันของการส่งข้อมูลใด WLAN ใช้หลักการใด<br />ก. ALOHA<br />ข. CSMA<br />ค. CSMA/CA<br />*ง. CSMA/CD<br />45. Data Rate สูงสุดขนาด 54 Mb ที่ใช้ส่งได้ใน WLAN ใช้มาตรฐานใดและใช้หลัก<br />mechanism (กลไกการส่ง) แบบใด<br />ก. IEEE802.11a; DSSS<br />ข. IEEE802.11b; FHSS<br />ค. IEEE802.11a; OFDM<br />*ง. IEEE802. 11b; OFDM<br />46. อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ D/A คือ<br />ก. Hub<br />ข. Switching<br />ค. Modem<br />*ง. Router<br />47. อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รอดแคสสัญญาณ (Broadcast) คือ<br />ก. Hub<br />*ข. Switching<br />ค. Modem<br />ง. Router<br />48. Mechanism ใดของ WLAN ที่มีการรบกวน (Interference) สูงที่สุดใด<br />ก. Diffuse IR<br />ข. DSSS<br />ค. OFDM<br />*ง. FHSS<br />49. CIDR 192.168.0.0/24 จะมีค่า subnet mask เท่าใด<br />ก. 255.255.0.0<br />ข. 255.255.128.0<br />ค. 255.255.255.0<br />*ง. 255.255.255.192<br />50. การ Roaming ใช้กับการโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง<br />ก. AP กับ AP<br />*ข. AP กับ AP<br />ค. AP กับ BSS<br />ง. BSS กับ ESS<br /><br /><br /> </span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-15228655849071799002008-10-30T08:18:00.000-07:002008-10-30T08:24:02.657-07:00Topology<span style="font-family:arial;">Topology<br />การจัดรูปโครงสร้างของอุปกรณ์สื่อสารเพื่อจัดตั้งเป็นระบบเครือข่าย<br />สามารถกระทำได้หลายแบบดังนี้<br />1. ระบบเครือข่ายที่แบ่งประเภทโดยพิจารณาจากการจัดโครงสร้างอุปกรณ์เป็นหลัก<br />เรียกว่า การจัดรูปทรงระบบเครือข่าย (Topology)<br />ได้แก่ ระบบเครือข่ายแบบดาว แบบบัส และแบบวงแหวน เป็นต้น<br />2. ระบบเครือข่ายตามขนาดทางกายภาพของระยะทางในการส่งข้อมูลเป็นหลัก<br />ได้แก่ เครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN)<br />เครือข่ายในเขตเมือง (MAN)<br />เครือข่ายวงกว้าง (WAN)<br />และเครือข่ายสหภาค (Internetwork)<br />3. ระบบเครือข่ายที่พิจารณาจากขอบเขตการใช้งานขององค์กร เช่น<br /><br /> เครือข่ายอินทราเนต (Intranet)<br />เครือข่ายเอ็กซ์ทราเนต( Extranet) และเครือข่ายสากล<br />(Internet)<br />การจัดรูปทรงระบบเครือข่าย (Topology)วิธีการอธิบายระบบเครือข่ายแบบหนึ่ง<br />คือการพิจารณาจากรูปทรงของระบบเครือข่าย<br />ดังรูปที่ 2.13 , 2.14 และ 2.15<br />คือระบบเครือข่ายแบบดาว แบบบัส และแบบวงแหวน ตามลำดับ<br />ระบบเครือข่ายแบบดาว (Star Topology)<br />ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง<br />เรียกว่า โฮสต์ (Host) หรือ เซิฟเวอร์ (Server)<br />ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นแลอุปกรณ์ที่เหลือ<br /> ระบบนี้เหมาะกับการประมวลผลที่ศูนย์กลางและส่วนหนึ่งทำการประมวลผลที่เครื่องผู้ใช้<br />(Client or Work Station) ระบบนี้มีจุดอ่อนอยู่ที่เครื่อง<br />Host คือ การสื่อสารทั้งหมดจะต้องถูกส่งผ่านเครื่อง Host ระบบจะล้มเหลวทันทีถ้าเครื่อง<br />Host หยุดทำงานภาพที่ 2.11 :<br />เครือข่ายแบบดาว ( star )<br />ระบบเครือข่ายแบบบัส (Bus Toplogy)เป็นระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์<br />และอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยสายสื่อสารเพียงเส้นเดียว อาจใช้สายคู่บิดเกลียว สายโคแอกเซียล<br />หรือสายใยแก้วนำแสงก็ได้ สัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากอุปกรณ์ตัวใดก็ตามจะเป็นลักษณะการกระจายข่าว<br />(Broadcasting) โดยไม่มีอุปกรณ์ตัวใดเป็นตัวควบคุมระบบเลย<br />แต่อาศัยซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งในอุปกรณ์แต่ละตัวทำหน้าที่ควบคุมการสื่อสาร<br />ในระบบบัสนี้จะมีอุปกรณ์เพียงตัวเดียวที่สามารถส่งสัญญาณออกมา<br />อุปกรณ์ตัวอื่นที่ต้องการส่งสัญญาณจะต้องหยุดรอจนกว่าในระบบจะ<br />ไม่มีผู้ใดส่งสัญญาณออกมาจึงจะส่งสัญญาณของตนออกมาได้<br />ถ้าหากส่งออกมาพร้อมกันจะเกิดปัญหาสัญญาณชนกัน (Collision) ทำให้สัญญาณเกิดความเสียหายใช้การ<br /><br />ไม่ได้ และระบบนี้จะมีประสิทธิภาพต่ำถ้ามีอุปกรณ์เชื่อมต่อกันเป็นจำนวนมากระบบเครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Topology)<br />ระบบเครือข่ายวงแหวนจะมีลักษณะคล้ายเครือข่ายบัสที่เอาปลายมาต่อกัน<br />โดยไม่มีอุปกรณ์ใดเป็นตัวควบคุมการสื่อสารของระบบเลย และข้อมูลในวงแหวนจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน<br /><br />เสมอ<br />ระบบเครือข่ายตามขนาดทางกายภาพของระยะทางในการส่งข้อมูลระบบเครือข่ายในลักษณะนี้<br />ได้ให้คำจำกัดความจากตำแหน่งที่ตั้งและขอบเขตวงกว้างของการใช้งาน<br />ซึ่งแบ่งได้หลายอาณาเขต<br />1. เครือข่ายเฉพาะบริเวณ (Local Area Networks) หรือเครือข่ายระบบแลน (LAN)<br />2. เครือข่ายในเขตเมือง (Metropolitan Area Networks) หรือเครือข่ายระบบแมน (MAN)<br />3. เครือข่ายวงกว้าง (Wide Area Networks) หรือเครือข่ายแวน (WAN)เครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN)<br />มีขอบเขตการทำงานแคบ มักอยู่ในอาคาร ออฟฟิศ สำนักงาน<br />หรือหลายอาคารที่อยู่ติดกัน ไม่เกิน 2,000 ฟุต ระบบ LAN<br />ได้รับความนิยมมากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์สำนักงานเข้าด้วยกัน โดยมีสายนำสัญญาณการสื่อสารที่เป็นของ<br /><br />ตนเอง<br />โดยใช้ Topology แบบบัส หรือวงแหวนและมีช่องสื่อสารที่กว้าง เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สำนักงาน<br />อุปกรณ์ระบบแสดงผล พิมพ์งาน และการรับส่งข้อมูลข่าวสารในสำนักงานทำงานร่วมกันได้<br />ถ้าหากการใช้งานในบางจุดของสำนักงานไม่สามารถเดินสายเคเบิลได้<br />หรือมีข้อจำกัดด้านการติดตั้งและลงทุนเช่น การต่อสาย LAN ข้ามตึก<br />หรือระหว่างชั้นสำนักงาน ก็สามารถประยุกต์ใช้ระบบ LAN ไร้สาย ตามที่กล่าวไปแล้วได้<br />รูปที่ 2.17 แสดงถึงการต่อวง LAN วงหนึ่งในลักษณะ Ring<br />มักมีเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งทำหน้าที่เป็น Host หรือ เซิฟเวอร์ (Server) ซึ่งคล้ายกับบรรณารักษ์<br />คอยจัดเก็บโปรแกรมและฐานข้อมูล และควบคุมการเข้าใช้ของ User<br />แต่ละคน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Server นี้มักมีหน่วยความจำใหญ่และ<br />มีหน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าพีซีปกติ<br />ความสามารถในการทำงานของระบบแลนถูกกำหนดโดย<br />ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System ; NOS )<br />ที่ติดตั้งอยู่ที่เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องหรืออาจอยู่ที่เครื่อง Server เพียงเครื่องเดียว<br />ระบบปฏิบัติการจะทำหน้าที่ในการ กำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลในเครือข่ายและ<br />จัดการบริหารการสื่อสารตลอดจนควบคุมการใช้งานทรัพยากรทั้งหมดในเครือข่าย<br />ตัวอย่างซอฟท์แวร์ที่นิยมใช้ ได้แก่ Novell Netware ,<br />Microsoft Windows 2000 Server ,<br />IBM’s OS/2 Warp Server เป็นต้น<br />ซึ่งซอฟท์แวร์ประยุกต์ที่ใช้บนระบบเครือข่าย LAN ในปัจจุบันมักนิยมทำงานในแบบ<br />ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ (Client / Server System)<br />โดยที่เครื่องผู้ให้บริการจะเป็นผู้จัดเตรียมข้อมูลและโปรแกรมให้ผู้ใช้บริการ<br />ระบบเครือข่ายในเขตเมือง (MAN)<br />โดยพื้นฐานแล้วระบบเครือข่ายในเขตเมือง (Metropolitan Area Network)<br />มีลักษณะคล้ายกับระบบ LAN แต่มีอาณาเขตที่ไกลกว่าในระดับเขตเมืองเดียวกัน<br />หรือหลายเมืองที่อยู่ติดกันก็ได้ ซึ่งอาจเป็นการให้บริการของเอกชนหรือรัฐก็ได้<br />เป็นการบริการเฉพาะหน่วยงาน มีขีดความสามารถในการให้บริการทั้งรับและส่งข้อมูล ทั้งภาพและเสียง<br /> เช่นการให้บริการระบบโทรทัศน์ทางสาย (Cable TV)<br />ระบบเครือข่ายวงกว้าง (WAN)<br />เป็นระบบที่มีขอบเขตการใช้งานกว้างกว่า ไกลกว่าระบบแลน<br />ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ไร้ขอบเขตแล้ว เช่นระบบการสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ<br />แต่การที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีระยะห่างกันมากๆให้เป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด<br />นั้นจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายสาธารณะ (Public Networks) ที่ให้บริการการสื่อสาร<br />โดยเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม ผ่าน เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ<br />(Public Switching Telephone Network ; PSTN)<br />ซึ่งมีทั้งลักษณะต่อโมเด็มแบบที่ต้องมีการติดต่อก่อน (Dial-up) หรือต่อตายตัวแบบสายเช่า<br />(Lease Line)<br />ระบบเครือข่ายที่พิจารณาจากขอบเขตการใช้งานขององค์กรระบบอินทราเนต<br />(Intranet) ในปัจจุบันบางองค์กรได้จำลองลักษณะของอินเตอร์เนตมาเป็นเครือข่ายภายในและ<br />ใช้งานโดยบุคคลากรของบริษัท ผู้คนในบริษัทจะทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อกันในองค์กร<br />เฉพาะเครือข่ายของบริษัทตนเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับองค์กรอื่นภายนอก<br />ทั้งที่อยู่ในสำนักงานเดียวกันหรือต่างสาขาก็ได้ หรือจะอยู่คนละภูมิประเทศก็ได้<br />สามารถสื่อสารกัน (Interfacing) ได้โดยการใช้ Web Browser<br />เขียนเป็น Home Pages เหมือนอินเตอร์เนตโดยทั่วไป ด้วยกราฟฟิก ภาพ ข้อความ เสียง<br />และมี Function ต่างๆ เช่น Web-board การ Log-in<br />การเปิดหน้าต่าง Browser ด้วยวิธีการคลิ๊กทีละ Page นำเสนอข้อมูลที่สวยงาม<br />ง่ายต่อการเข้าใจ มีระบบจดหมายอีเลกทรอนิกส์ มี Account ให้พนักงานแต่ละคนใช้ส่วนตัว<br />มีระบบโต้ตอบและสนทนาได้อัตโนมัติ ตัวอย่างของระบบอินทราเนต ที่นิยมใช้กันมาก<br />ได้แก่ ระบบซอฟท์แวร์ Lotus-Note ของบริษัท IBMข้อดีของอินทราเนตที่องค์กรต่างๆนิยมใช้เพราะ<br />เป็นส่วนตัว (Privacy) ในระดับองค์กร คาวมเร็วในการส่งผ่านข้อมูลที่จำเป็นเฉพาะองค์กร<br />การป้องกันการรั่วไหลของความลับองค์กร แต่ในขณะเดียวกันระบบอินทราเนตสามารถเชื่อมต่อ<br /><br />กับระบบอินเตอร์เนตภายนอกได้ทันที เพราะอาศัย Protocol<br />มาตรฐาน TCP/IP เหมือนกันระบบเอ็กทราเนต<br />(Extranet) เป็นอีกลักษณะของระบบเครือข่ายที่เป็นระบบสารสนเทศระหว่างองค์กร<br />(Inter-Organization ; I-OIS) ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างองค์กรที่มีความสัมพันธ์กัน<br />ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ติดต่อธุรกรรมกันเป็นประจำ ระหว่างพนักงาน<br />บริษัทคู่ค้า บริษัทลูกค้า หรือบริษัทที่เป็นพันธมิตรกัน<br />ระบบเอ็กทราเนตจะอาศัยโครงสร้างของอินทราเนต<br />และอินเตอร์เนตในการทำงานสื่อสารระหว่างองค์กร<br />แต่อาจอาศัยเครือข่ายเฉพาะส่วนบุคคล (Virtual private Networks ; VPN)<br />ซึ่งจะต้องมีการเข้ารหัสต่างๆ เพื่อขออนุญาตเข้าใช้เครือข่าย<br />มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กรระหว่างกัน<br />ปัจจุบันนิยมมากในกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะเป็นพันธมิตรทางการค้า (Alliance)<br />ที่ต้องอาศัยข้อมูลของบริษัทร่วมกัน (Collaboration Commerce ; C-Commerce)<br />เช่น ข้อมูลสต็อกสินค้า ข้อมูลลูกค้า และมีฟังก์ชั่นการทำงานในลักษณะโต้ตอบ สนทนา แบบ Real timeระบบอินเตอร์เนต (Internet)<br />เป็นระบบที่รู้จักกันดีและใช้งานกันอยู่เป็นประจำ เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน<br />เชื่อมโยงศูนย์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าไว้เป็นระบบเดียว จึงเป็นระบบสื่อสารที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว<br />และมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะมีประโยชน์ในวงการต่างๆ<br />มากมายอินเตอร์เนตที่ทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้เพราะมีมาตรฐานหรือโปรโตคอลที่ชื่อว่า<br />TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol)<br />ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้โดยผ่านผู้ให้บริการอินเตอร์เนตเชิงพาณิชย์ (Internet Service Provider ; ISP )<br />ซึ่งจะทำหน้าที่ให้บริการเสมือนศูนย์กลางการสื่อสารคอยติดต่อประสานงานกับวงอินเตอร์เนตอื่นๆทั่วโลก<br />เสมือนสำนักงานไปรษณีย์ที่คอยส่งจดหมายไปตามที่อยู่ (IP Address)<br />ของผู้รับ ผู้ให้บริการอินเตอร์เนตในประเทศไทยปัจจุบันได้แก่ Loxinfo ,<br />CS Communication , Internet KSC , AsiaNet ,<br />Telecomasiaหรือแม้แต่องค์การโทรศัพท์หรือ ทศท.คอร์เปอเรชั่น จำกัด<br />ในปัจจุบันก็หันมาทำธุรกิจให้บริการอินเตอร์เนตด้วย<br />IP Address<br />หรือบ้านเลขที่บนอินเตอร์เนต ถ้าเปรียบอินเตอร์เนตเป็นเมืองขนาดใหญ่<br />และเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเป็นบ้านที่มีถนนเชื่อมถึงกัน<br />เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านั้นย่อมต้องมีเลขที่บ้านเพื่อให้รู้ตำแหน่งกันโดย<br />ไม่ซ้ำกับเครื่องใดในโลก IP Address ประกอบไปด้วยตัวเลข 4 ชุด ต่อกัน<br />โดยมีจุดเป็นสัญญลักษณ์แบ่งตัวเลข แต่ละชุดมีค่าตั้งแต่ 0 – 255 โดยสามารถทำการขอเลข<br />IP ได้จากหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตจาก InterNIC<br />(Internet Network Information Center) เช่นผู้ให้บริการอินเตอร์เนตทั่วไป<br />Internet Address<br />คงไม่มีใครอยากจะจดจำ IP Address เพราะเป็นชุดตัวเลขที่ยาวมาก<br />ไม่สะดวกต่อการจดจำและเรียกใช้ลำบาก จึงมีการกำหนดชื่อเรียกขึ้นมาแทน<br />IP Address เหมือนการจดทะเบียนการค้า มีเลขทะเบียนการค้าแล้ว<br />แต่ต้องจดทะเบียนชื่อห้างร้านด้วย Internet Address อยู่ในรูปของตัวอักษร<br />นิยมตั้งให้จำได้ โดยมากใช้ชื่อองค์กรหรือชื่อที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาหรือ<br />วัตถุประสงค์ขององค์กรหรือบุคคลเจ้าของ Website นั้นๆ<br />โดยมีตัวย่อหลังเครื่องหมายจุดในอินเตอร์เนตแอดเดรสเป็นตัวระบุความแตกต่างกันของขนิดองค์กร<br />ที่พบบ่อยๆ ได้แก่<br />ส่วนอินเตอร์เนตแอดเดรสในประเทศไทย<br />มักมี.th ตามต่อท้ายเพื่อให้ทราบว่ามี IP อยู่ในประเทศไทยเป็นการกำหนดตำแหน่งประเทศ<br />ที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ ตั้งอยู่ เช่น co.th , ac.th , go.th , or.th เป็นต้นบริการต่างๆในอินเตอร์เนต<br />ตัวอินเตอร์เนตเอง คือระบบที่สร้างขึ้นเพื่อการเชื่อมต่อข้อมูลแต่ข้อมูลที่จะเชื่อมต่อ<br />กันบนอินเตอร์เนตอาจอยู่ในรูปแบบใดๆก็ได้ ขึ้นกับความต้องการผู้ใช้ โดยมากที่เราพบเห็นจะอยู่ในรูปแบบ<br />www (World Wide Web หรือที่เรารู้จักกันว่า Web site)<br />แต่อินเตอร์เนตมีรูปแบบที่ให้บริการต่างๆได้มากมาย อาทิ<br />1. เครือข่ายใยพิภพ (เครือข่ายใยแมงมุม) World Wide Web<br />ประกอบไปด้วย Website ต่างๆมากมายบนโลก<br />2. บริการจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) ที่มีชื่อเสียงที่เรารู้จักก็คือ<br />โปรแกรม OutLook หรือบริการ e-mail บนเว็บยอดฮิตก็ Hotmail ที่รูจักกันดี<br />3. บริการโอนย้ายไฟล์ (File Transfer Protocol ; FTP)<br />บริการให้ Up – Down load แฟ้มข้อมูลต่างๆ<br />4. Usenet บอร์ดข่าวสารบนอินเตอร์เนต<br />5. ระบบการสนทนาโต้ตอบแบบทันที (Internet Relay Chat ; IRC)<br />6. Internet Phone หรือ Voice Mail ที่สามารถใช้เสียงพูดคุยผ่านอินเตอร์เนต (VoiceOverIP)<br />7. การให้บริการแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เนต (Internet Fax)<br />8. การให้บริการภาพและเสียงผ่านอินเตอร์เนต (Streaming audio and video)</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#3366ff;">ข้อสอบปรนัย5ข้อ</span><br /><span style="font-family:arial;">1. ระบบเครือข่ายที่แบ่งประเภทโดยพิจารณาจากการจัดโครงสร้างอุปกรณ์เป็นหลัก เรียกว่าอะไร</span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff6666;">ก.การจัดรูปทรงระบบเครือข่าย (Topology)</span> </span><br /><span style="font-family:arial;">ข.การรักษาเครือข่าย</span><br /><span style="font-family:arial;">ค.การาดูแลเครือข่าย</span><br /><span style="font-family:arial;">ง.ถูกทุกข้อ</span><br /><span style="font-family:arial;">2.ระบบเครือข่ายตามขนาดทางกายภาพของระยะทางในการส่งข้อมูลเป็นหลักได้แก่</span><br /><span style="font-family:arial;">ก.เครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) </span><br /><span style="font-family:arial;">ข.เครือข่ายในเขตเมือง (MAN) </span><br /><span style="font-family:arial;">ค.เครือข่ายวงกว้าง (WAN) </span><br /><span style="font-family:arial;color:#ff6666;">ง.ถูกทุกข้อ</span><br /><span style="font-family:arial;">3.ระบบเครือข่ายแบบดาว ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เรียกว่า </span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff6666;">ก.โฮสต์ (Host) หรือ เซิฟเวอร์</span> </span><br /><span style="font-family:arial;">ข.ดาว</span><br /><span style="font-family:arial;">ค.ถูกทุกข้อ</span><br /><span style="font-family:arial;">ง.ไม่มีข้อถูก</span><br /><span style="font-family:arial;">4.ข้อใดไม่ใช่ระบบเครือข่ายตามขนาดทางกายภาพของระยะทางในการส่งข้อมูล</span><br /><span style="font-family:arial;">ก.เครือข่ายเฉพาะบริเวณ</span><br /><span style="font-family:arial;">ข.เครือข่ายในเขตเมือง</span><br /><span style="font-family:arial;">ค.เครือข่ายวงกว้าง</span><br /><span style="font-family:arial;color:#ff6666;">ง.ไม่มีข้อถูก</span><br /><span style="font-family:arial;">5.ระบบเครือข่ายแบบวงแหวน มีลักษณะอย่างไร</span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff6666;">ก.ระบบเครือข่ายวงแหวนจะมีลักษณะคล้ายเครือข่ายบัสที่เอาปลายมาต่อกัน</span> </span><br /><span style="font-family:arial;">ข.มีลักษณะเป็นวงกลม</span><br /><span style="font-family:arial;">ค.มีลักษณะสี่เหลี่ยม</span><br /><span style="font-family:arial;">ง.มีลักษณะวงรี</span><br /><span style="font-family:arial;"></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-73128400151218625642008-10-16T20:22:00.000-07:002008-10-16T20:23:41.698-07:00e-learning<a href="http://e-learning.tu.ac.th/">http://e-learning.tu.ac.th/</a><br /> มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br /><a href="http://e-learning.mfu.ac.th/">http://e-learning.mfu.ac.th/</a><br />มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง<br /><a href="http://regelearning.payap.ac.th/">http://regelearning.payap.ac.th/</a><br /> มหาวิทยาลัยพายัพ<br /><a href="http://elearning.utcc.ac.th/lms/main/default.asp">http://elearning.utcc.ac.th/lms/main/default.asp</a><br />มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br /><a href="http://md.rmutk.ac.th/">http://md.rmutk.ac.th/</a><br />มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ<br /><a href="http://e-learning.kku.ac.th/">http://e-learning.kku.ac.th/</a><br /> มหาวิทยาลัยขอนแก่น<br /><a href="http://space.kbu.ac.th/el/index.asp">http://space.kbu.ac.th/el/index.asp</a><br />มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต<br /><a href="http://elearning.dusit.ac.th/xedu/Home.aspx">http://elearning.dusit.ac.th/xedu/Home.aspx</a><br />มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต<br /><a href="http://sutonline.sut.ac.th/moodle/mod/resource/view.php?id=7790">http://sutonline.sut.ac.th/moodle/mod/resource/view.php?id=7790</a><br />มหวิทยาลัยเทคโนดลยีสุรนารี<br /><a href="http://www.academic.hcu.ac.th/e-learning/e-learning.html">http://www.academic.hcu.ac.th/e-learning/e-learning.html</a><br /> มหวิทยาลัยหัวเฉลียวเฉลิมพระเกียรตินางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-44183907822866781272008-10-16T19:30:00.001-07:002008-10-16T19:39:31.183-07:00เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการกระจาย รหัสวิชา 4122102<span style="font-family:arial;color:#ff0000;">เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการกระจาย รหัสวิชา 4122102</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">>>ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับ</span><br /><span style="font-family:arial;">เทอร์มินอลขั้นของ</span> <span style="font-family:arial;">โปรโตคอลมาตราฐาน OSI </span><span style="font-family:arial;">รูปแบบต่างๆของเตรื่อข่าย</span><br /><span style="font-family:arial;">X.25Networkและดิจิตอล Network</span> <span style="font-family:arial;">การประมวลผลแบบตาม ลำดับและแบบ</span><br /><span style="font-family:arial;">ขนาน </span><span style="font-family:arial;">การไปป์ไลน์(Pipelining) การประมวลผลแบบ</span> <span style="font-family:arial;">เวคเตอร์ ( vecter </span><br /><span style="font-family:arial;">Processing )การประมวลผลแบบอะเรย์ </span><span style="font-family:arial;">( Array Processors ) มัลติโพร</span><br /><span style="font-family:arial;">เซสเซอร์และฟอลท์โทเลอร์แรนซ์ ( Fault Tolerance )</span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-71410771217341144492008-09-04T00:25:00.000-07:002008-09-04T00:28:26.262-07:00ออกแบบ optical fiber communication<span style="font-family:arial;"><span style="color:#66ffff;">ข้อ1.</span><br /><span style="color:#ff6666;">30 mbit ระยะทาง 45 km</span></span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff6666;"></span><br />1.Preformanc = ไม่ระบุ<br />2.BL = 30*45 =1,350<br />3.เลือก optical source เลือก LED power ที่ -15<br />เพราะ ราคาประหยัด<br />4.เลือก optical fiber เลือก Graded Index Multimode<br />เพราะ ลองรับ BL แบร์นวิด ที่ 1.5 GHz/km<br />5.เลือก optical detector เลือก PIN - FET มีค่า sensitivity -60<br />เพราะ ราคาประหยัด<br />6.Lmax = Po – Por<br />แทนค่า (-15) - (-60)<br />= 65<br />7.Lf = Lmax (Lc + Ls + Pm)<br />กำหนด Lc = 0.50<br />กำหนด Ls = 1db<br />กำหนด Pm = 6db<br />แทนค่า Lf = 65- (0.50 +1 +6<br />= 57.50<br />8.Dmax = Lf/Lfimax<br />Lf = 57.50<br />Lfimax = 2<br />แทนค่า 57.50/2<br />= 28.75km<br /><br /><br /><span style="color:#33ffff;">ข้อ2.</span><br /><span style="color:#ff6666;">50 mbit ระยะทาง 100 km</span><br /><br />1.Preformanc = ไม่ระบุ<br />2.BL = 50*100 = 5,000<br />3.เลือก optical source เลือก LED power ที่ -20<br />เพราะ ราคาประหยัด<br />4.เลือก optical fiber เลือก Graded Index Multimode<br />เพราะ ลองรับ BL แบร์นวิด ที่ 1.5 GHz/km<br />5.เลือก optical detector เลือก PIN - FET มีค่า sensitivity -50<br />เพราะ ราคาประหยัด<br />6.Lmax = Po – Por<br />แทนค่า (-20) - (-50)<br />= 70<br />7.Lf = Lmax (Lc + Ls + Pm)<br />กำหนด Lc = 0.50<br /><br />กำหนด Ls = 1db<br /><br />กำหนด Pm = 5db<br /><br />แทนค่า Lf = 70- (0.50 +1 +5)<br /><br />= 31.75<br />8.Dmax = Lf/Lfimax<br />Lf = 63.50<br />Lfimax = 2<br />แทนค่า 63.50/2<br />= 31.57km</span><br /></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-48791838164823063882008-09-02T07:44:00.000-07:002008-09-02T07:50:40.327-07:00เส้นใยแก้วนำแสง<span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff6666;">เครือข่ายความเร็วสูง</span><br />SDH ย่อมาจาก Synchronous Digital Heirarchy SDH เป็นคำศัพท์ที่มีความหมาย<br />ถึงการวางลำดับการสื่อสารแบบซิงโครนัสในตัวกลางความเร็วสูง ซึ่งโดยปกติใช้<br />สายใยแก้วเป็นตัวนำสัญญาณ การสื่อสารภายในเป็นแบบซิงโครนัส คือส่งเป็นเฟรม<br />และมีการซิงค์บอกตำแหน่ง เริ่มต้นเฟรมเพื่อให้อุปกรณ์รับตรวจสอบสัญญาณ<br />ข้อมูลได้ถูกต้อง มีการรวมเฟรมเป็นช่องสัญญาณที่แถบกว้างความเร็วสูงขึ้น<br />และจัดรวมกันเป็นลำดับ เพื่อใช้ช่องสื่อสารบนเส้นใยแก้วนำแสง ความเป็น<br />มาของ SDH มีมายาวนานแล้ว เริ่มจากการจัดการโครงข่ายสายโทรศัพท์<br />ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ได้เปลี่ยนเป็นดิจิตอล โดยช่องสัญญาณเสียงหนึ่งช่อง<br />ใช้สัญญาณแถบกว้าง 64 กิโลบิต แต่ในอดีตการจัดมาตรฐานลำดับชั้นของ<br />เครือข่ายสัญญาณเสียงยังแตกต่างกัน เช่นในสหรัฐอเมริกา มีการจัดกลุ่มสัญญาณ<br />เสียง 24 ช่อง เป็น 1.54 เมกะบิต หรือที่เรารู้จักกันในนาม T1 และระดับต่อไปเป็น<br />63.1, 447.3 เมกะบิต แต่ทางกลุ่มยุโรปใช้ 64 กิโลบิตต่อหนึ่งสัญญาณเสียง และจัด<br />กลุ่มต่อไปเป็น 32 ช่องเสียงคือ 2.048 เมกะบิต ที่รู้จักกันในนาม E1 และจัดกลุ่ม<br />ใหญ่ขึ้นเป็น 8.44, 34.36 เมกะบิต<br />การวางมาตรฐานใหม่สำหรับเครือข่ายความเร็วสูงจะต้องรองรับการใช้งานต่าง ๆ<br />ทั้งเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณมัลติมีเดียอื่น ๆ เช่น สัญญาณโทรทัศน์<br />ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต และที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกได้ คณะกรรมการจัดการมาตร<br />ฐาน SDH จึงรวมแนวทางต่าง ๆ ในลักษณะให้ยอมรับกันได้ โดยที่สหรัฐอเมริกา<br />เรียกว่า SONET ดังนั้นจึงอาจรวมเรียกว่า SDH/SONET การเน้น SDH/SONET<br />ให้เป็นกลางที่ทำให้เครือข่ายประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ วิ่งลงตัวได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ<br />เนื่องจากโครงข่ายของ SDH/SONET ใช้เส้นใยแก้วนำแสงเป็นหลัก โดยวางแถบ<br />กว้าง พื้นฐานระดับต่ำสุดไว้ที่ 51.84 เมกะบิต โดยที่ภายในแถบกว้างนี้จะเป็นเฟรม<br />ข้อมูลที่สามารถนำช่องสัญญาณเสียงโทรศัพท์ หรือการประยุกต์อื่นใดเข้าไปรวมได้<br />และยังรวมระดับช่องสัญญาณต่ำสุด 51.84 เมกะบิตนี้ให้สูงขึ้น เช่นถ้าเพิ่มเป็นสาม<br />เท่าของ 51.84 ก็จะได้ 155.52 ซึ่งเป็นแถบกว้างของเครือข่าย ATM<br />โมเดลของ SDH แบ่งออกเป็นสี่ชั้น เพื่อให้มีการออกแบบและประยุกต์เชื่อมต่อ<br />ได้ตามมาตรฐานหลัก<br />ชั้นแรกเรียกว่าโฟโตนิก เป็นชั้นทางฟิสิคัลที่เกี่ยวกับการเชื่อมเส้นใยแก้วนำแสง<br />และอุปกรณ์ประกอบทางด้านแสง<br />ชั้นที่สอง เป็นชั้นของการแปลงสัญญาณแสง เป็นสัญญาณไฟฟ้า หรือในทางกลับ<br />กัน เมื่อแปลงแล้วจะส่งสัญญาณไฟฟ้าเชื่อมกับอุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ชั้นนี้ยังรวม<br />ถึงการจัดรูปแบบเฟรมข้อมูล ซึ่งเป็นเฟรมมาตรฐาน แต่ละเฟรมมีลักษณะชัดเจนที่<br />ให้อุปกรณ์ตัวรับและตัวส่งสามารถซิงโครไนซ์เวลากันได้ เราจึงเรียกระบบนี้ว่า<br /> ซิงโครนัส<br />ชั้นที่สามเป็นชั้นที่ว่าด้วยการรวมและการแยกสัญญาณ ซึ่งได้แก่วิธีการมัลติเพล็กซ์<br />และดีมัลติเพล็กซ์ เพราะข้อมูลที่เป็นเฟรมนั้นจะนำเข้ามารวมกัน หรือต้องแยกออก<br />จากกัน การกระทำต้องมีระบบซิงโครไนซ์ระหว่างกันด้วย<br />ชั้นที่สี่ เป็นชั้นเชื่อมโยงขนส่งข้อมูลระหว่างปลายทางด้านหนึ่งไปยังปลายทางอีกด้าน<br />หนึ่ง เพื่อทำให้เกิดวงจรการสื่อสารที่สมบูรณ์ ในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หนึ่งไป<br />ยังอีกอุปกรณ์หนึ่งจึงเสมือนเชื่อมโยงถึงกันในระดับนี้<br />เพื่อให้การรับส่งระหว่างปลายทางด้านหนึ่งไปยังอีกปลายทางด้านหนึ่งมีลักษณะสื่อ<br />สารไปกลับได้สมบูรณ์ การรับส่งจึงมีการกำหนดแอดเดรสของเฟรมเพื่อให้การรับ<br />ส่งเป็นไปอย่างถูกต้อง กำหนดโมดูลการรับส่งแบบซิงโครนัส ที่เรียกว่า STM –<br />Synchronous<br />Transmission Module โดย เฟรมของ STM พื้นฐาน มีขนาด 2430 ไบต์ โดยส่วนกำหนด<br />หัวเฟรม 81 ไบต์ ขนาดแถบกว้างของการรับส่งตามรูปแบบ STM จึงเริ่มจาก 155.52 เม<br />กะบิตต่อวินาที ไปเป็น 622.08 และ 2488.32 เมกะบิตต่อวินาที จะเห็นว่า STM ระดับแรกมี<br />ความเร็ว 155.52 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเป็น 3 เท่าของแถบกว้างพื้นฐานของ SDH ที่ 51.84<br />เมกะบิตต่อวินาที STM จึงเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใน SDH ด้วย<br />เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ผู้ออกแบบมาตรฐาน SDH ต้องการให้เป็นทางด่วนข้อมูล<br />ข่าวสาร ที่จะรองรับระบบเครือข่ายโทรศัพท์ที่มีอัตราการส่งสัญญาณกันเป็น T1, T3,<br />หรือ E1, E3 ขณะเดียวกันก็รองรับเครือข่าย ATM (Asynchronous Transfer Mode)<br />ที่ใช้ความเร็วตามมาตรฐาน STM ดังที่กล่าวแล้ว โดยที่ SDH สามารถเป็นเส้นทางให้กับ<br />เครือข่าย ATM ได้หลาย ๆ ช่องของ ATM ในขณะเดียวกัน<br />SDH จึงเสมือนถนนของข้อมูลที่ใช้เส้นใยแก้วนำแสงเพื่อรองรับแถบกว้างของ<br />สัญญาณสูง ขณะเดียวกันก็ใช้งานโดยการรวมสัญญาณข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาร่วมใช้<br />ทางวิ่งเดียวกันได้ SDH จึงเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เสมือนหนึ่งเป็นถนนเชื่อมโยง<br />ที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ที่สำคัญคือ ถนนเหล่านี้จะเป็นทางด่วนที่รองรับการประยุกต์<br />ใช้งานในอนาคต SDH หรือทางด่วนข้อมูล จะเกิดได้หรือไม่ คงต้องคอยดูกันต่อไป<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0gq4MMqucfLYtqIEJ6ho4Am20Um2KLekZ1zPng7ASI6rSJ1oAe3T64xf6WgUJRQZUFf2iBXKtNmT1cGjKWLV4CtGE1LDNW9I18hYgPWb7wYKa89AsWAPlt-fQ2cWLo00e-zLG23hpmIwy/s1600-h/kkkh.jpg"></a>เอกสารอ้างอิง :http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/network/sdh.htm<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">สายใยแก้วนำแสง</span><br />สาย สัญญาณที่ใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใน<br />ปัจจุบันมี 2 ประเภท โดยแบ่งตามชนิดของตัวนำที่<br />ช้ประเภทแรกคือ แบบที่ใช้โลหะเป็นตัวนำสัญญาณ<br />(Conductive Metal) เช่น สายคู่บิดเกลียว (Twisted<br />Pairs) และสายโคแอ็กซ์ (Coaxial Cable) ซึ่งปัญหา<br />ของสายที่มีตัวนำเป็นโลหะนั้นก็คือ สัญญาณที่วิ่งอยู่<br />ภายในสายนั้น อาจจะถูกรบกวนได้โดยคลื่นแม่เหล็ก<br />ไฟฟ้าแหล่งต่าง ๆ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟ<br />ฟ้าต่าง ๆ ที่ผลิตสนามแม่เหล็ก หรือแม้กระทั่งปรากฏ<br />การณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า เป็นต้น และการเดินสาย<br />เป็นระยะทางไกลมาก ๆ เช่น ระหว่างประเทศจะมีการ<br />สูญเสียของสัญญาณเกิดขึ้น จึงต้องใช้อุปกรณ์สำหรับ<br />ทวนสัญญาณติดเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นจึงมีการ<br />คิดค้นและพัฒนาสายสัญญาณแบบใหม่ ซึ่งใช้ตัวนำซึ่ง<br />ไม่ได้เป็นโลหะขึ้นมาก็คือ สายใยแก้วนำแสง (Fiber<br />Optic) ซึ่งใช้สัญญาณแสงในการส่งสัญญาณไฟฟ้า<br />ทำให้การส่งสัญญาณไม่ถูกรบกวนจากสนามแม่เหล็ก<br />ไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งยังคงทนต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วย<br />และตัวกลางที่ใช้สำหรับการส่งสัญญาณแสงก็คือ<br />ใยแก้วซึ่งมีขนาดเล็กและบางทำให้ประหยัดพื้นที่<br />ไปได้มาก สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลโดยมีการ<br />สูญเสียของสัญญาณน้อย ทั้งยังให้อัตราข้อมูล<br />(Bandwidth) ที่สูงยิ่งกว่าสายแบบโลหะหลายเท่าตัว<br />โครงสร้างของใยแก้วนำแสง<br />ส่วนประกอบของใยแก้วนำแสงประกอบด้วย<br />ส่วนสำคัญคือ ส่วนที่เป็นแกน (Core) ซึ่งจะอยู่ตรง<br />กลางหรือชั้นในแล้วหุ้มด้วยส่วนห่อหุ้ม (Cladding)<br />แล้วถูกห่อหุ้มด้วยส่วนป้องกัน (Coating) อีกชั้นหนึ่ง<br />โดยที่แต่ละส่วนนั้นทำด้วยวัสดุที่มีค่าดัชนีหักเหของ<br />แสงต่าง กัน ทั้งนี้ก็เพราะต้องคำนึงถึงหลักการหักเห<br />และสะท้อนกลับหมดของแสง ส่วนที่เหลือก็จะเป็น<br />ส่วนที่ช่วยในการติดตั้งสายสัญญาณได้ง่ายขึ้น เช่น<br />Strengthening Fiber ก็เป็นส่วนที่ป้องกันไม่ให้สาย<br />ไฟเบอร์ขาดเมื่อมีการดึงสายในตอนติดตั้งสาย สัญญาณ<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZzR4063yuAApgWCGqhQjz9AQ0iGEUYrhf-ofUvQObnkB_cbwtUKWmeC3tFFa0yClWJ-4bKmL5-SzSH571h4Z7cysghHLPNjoSO3KFHfskUtKEvlHoLSTQM0X5ZYYFveOnS2oaeR435Dhc/s1600-h/%E0%B9%83%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7iber.jpg"></a><span style="color:#ff6666;">แกน (Core)</span><br />เป็นส่วนกลางของเส้นใยแก้วนำแสง และเป็นส่วน<br />นำแสง โดยดัชนีหักเหของแสงส่วนนี้ต้องมากกว่าส่วน<br />ของแคลด ลำแสงที่ผ่านไปในแกนจะถูกขังหรือเคลื่อน<br />ที่ไปตามแกนของเส้นใยแก้วนำแสงด้วย กระบวนการ<br />สะท้อนกลับหมดภายใน<br /><br /><span style="color:#ff6666;">ส่วนห่อหุ้ม (Cladding)</span><br />เป็นส่วนที่ห่อหุ้มส่วนของแกนเอาไว้ โดยส่วนนี้จะมีดัชนี<br />หักเหน้อยกว่าส่วนของแกน เพื่อให้แสงที่เดินทางภายใน<br />สะท้อนอยู่ภายในแกนตามกฎของการสะท้อนด้วยการสะท้อน<br />กลับหมด โดยใช้หลักของมุมวิกฤติ<br /><br /><span style="color:#ff6666;">ส่วนป้องกัน (Coating/Buffer)</span><br />เป็น ชั้นที่ต่อจากแคลดที่กันแสงจากภายนอกเข้าเส้น<br />ใยแก้วนำแสงและยังใช้ประโยชน์ เมื่อมีการเชื่อมต่อเส้นใย<br />แก้วนำแสง โครงสร้างอาจจะประกอบไปด้วยชั้นของพลาส<br />ติกหลาย ๆ ชั้น นอกจากนั้นส่วนป้องกันยังทำหน้าที่เป็นตัว<br />ป้องกันจากแรงกระทำภายนอกอีกด้วย ตัวอย่างของค่าดัชนี<br />หักเห เช่น แกนมีค่าดัชนีหักเหประมาณ 1.48 ส่วนขอแคลด<br />และส่วนป้องกันซึ่งทำหน้าที่ป้องกันแสงจากแกนไปภายนอก<br />และป้องกัน แสงภายนอกรบกวน จะมีค่าดัชนีหักเหเป็น 1.46<br />และ 1.52 ตามลำดับ<br /><br />เอกสารอ้างอิง<br /><br /><a href="http://www.thaiinternetwork.com/chapter/detail.php?id=0043">http://www.thaiinternetwork.com/chapter/detail.php?id=0043</a><br /><span style="color:#3366ff;"><br /><span style="font-size:180%;">ข้อสอบ</span></span><br />1. Synchronous Digital Heirarchy ข้อใดถูกต้อง<br /><span style="color:#33ffff;">ก. SDH </span><br />ข. ข. DSH<br />ค. ค.SDE<br />ง. ง.ถูกทุกข้อ<br /><br />2. Synchronous Digital Heirarchy หมายถึงข้อใด<br /><span style="color:#33ffff;">ก. การวางลำดับการสื่อสารแบบซิงโครนัส </span><br />ข. ตัวส่งสัญญาณ<br />ค. ตัวรับสัญญาณ<br />ง. ผิดทุกข้อ<br /><br />3. โดยปกติใช้สายใยแก้วเป็นตัวนำสัญญาณ การสื่อสารภายใน<br />เป็นแบบซิงโครนัส คือส่งเป็นเฟรม และมีอะไรที่ใช้ในการบอกตำแหน่ง<br /><span style="color:#33ffff;">ก. ซิงค์ </span><br />ข. สายเคเบิ้ล<br />ค. สายโทรศัพท์<br />ง. ถูกทุกข้อ<br /><br />4. ในสหรัฐอเมริกา มีการจัดกลุ่มสัญญาณเสียง มีกี่ช่อง<br /><span style="color:#33ffff;">ก. 24 ช่อง</span><br />ข. 25 ช่อง<br />ค. 26 ช่อง<br />ง. 27 ช่อง<br /><br />5. โมเดลของ Synchronous Digital Heirarchy แบ่งออกกี่ชั้น<br /><span style="color:#33ffff;">ก. 4 ชั้น </span><br />ข. 5 ชั้น<br />ค. 6 ชั้น<br />ง. 7 ชั้น<br /><br />6. ชั้นแรกโมเดลของ Synchronous Digital Heirarchy<br />เรียกอีอย่างหนึ่งว่าอย่างไร<br /><span style="color:#33ffff;">ก. โฟโตนิก </span><br />ข. ลิงค์<br />ค. ซิงค์<br />ง. ผิดทุกข้อ<br /><br />7. การแปลงสัญญาณแสง เป็นสัญญาณไฟฟ้าอยู่ในชั้นที่เท่าไร<br /><span style="color:#33ffff;">ก. 2 </span><br />ข. 3<br />ค. 4<br />ง. 5<br /><br />8. การรวมและการแยกสัญญาณอยู่ในชั้นที่เท่าไร<br />ก. 2<br /><span style="color:#33ffff;">ข. 3<br /></span>ค. 4<br />ง. 5<br /><br />9. ประเทศใดเรียกเส้นใยแก้วนำแสงเป็นหลักเป็น SONET<br />ก. อังกฤษ<br /><span style="color:#33ffff;">ข. อเมริกา</span><br />ค. อินเดีย<br />ง. จีน<br /><br />10. กลุ่มยุโรปใช้ กิโลบิตต่อหนึ่งสัญญาณเสียง<br /><span style="color:#33ffff;">ก. 64 กิโลบิต</span><br />ข. 65 กิโลบิต<br />ค. 66 กิโลบิต<br />ง. 67 กิโลบิตนางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-7221057571933806682008-08-24T06:27:00.000-07:002008-08-24T06:33:18.464-07:00การสอบ CCNA<span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:180%;">การสอบ CCNA</span><br /></span><br /><span style="color:#33ccff;">- ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ network media<br /><br />- การคอนฟิก router เบื้องต้นโดยใช้ Cisco IOS commands<br /><br />- การติดตั้ง และคอนฟิกเน็ตเวิร์กบน LAN, WAN<br /><br />- เข้าใจ และสามารถคอนฟิก routable protocols (IP, IPX, Apple Talk, etc.)<br /><br />- เข้าใจ และสามารถคอนฟิก routing protocols (RIP, IGRP, EIGRP, etc.)<br /><br />- ระบบความปลอดภัยบนเน็ตเวิร์กสถานที่คือกรุงเทพกับเชียงใหม่ส่วนค่าใช้จ่ายในการสอบ ประมาณ 8900<br /><br />การสอบ CCNP<br /><br />CCNP certification (Cisco Certified Network Professional) เป็น Network<br /> Specialist Certification ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ผู้ที่ได้รับ CCNP Certified นั้นมีความสามารถ<br /><br /><br />ในการติดตั้ง, ปรับแต่งและแก้ปัญหากับอุปกรณ์ Routers Router, LAN Switching ตลอดจน<br /> Access Server<br />ในระดับ enterprise ขององค์กรได้ ทั้งนี้ข้อสอบใหม่ จะเน้นหัวข้อเนื้อหาใหม่ในด้าน<br /><br /><br />security,converged networks, quality of service (QoS), virtual private networks<br /> (VPN) และ broadband technologies.<br /><br />ในการสอบ CCNP มีทั้งหมด 4 วิชาราคาสอบอยู่ที่ประมาณ 6,450 บาทครับ ทุกวิชาเท่ากันหมดครับ<br /><br />สถานที่สอบที่ VNOHOW<br /><br />การสอบ CCIE<br />CCIE - Cisco Certified Internetwork Expert CCIE เป็น Cert ระดับสูงของ cisco โดยจะมี<br />4 Track ย่อยๆ แบ่งไปตามลักษณะของการทำงาน เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ Cisco โดยแต่ละ Track จะแยก<br /><br /> จากกันอย่างสิ้นเชิง หากต้องการทำงานในด้านใดในระดับสูง ก็เลือกจากข้อสอบในส่วนนี้Track ย่อยประกอบ<br />ไปด้วยCCIE Service Provider CCIE Routing and Switching CCIE Security CCIE<br />VoiceCisco Certified Internetwork Expert (CCIE) เป็นประกาศนียบัตรขั้นสูงสุดในส่วนของ<br />Network Installation and Support Certificationและ Communication and Services<br />Certification<br />สถานที่สอบ<br /><br />1. Bangalore (บังกาลอร์,อินเดีย)<br /><br />2. Beijing (ไบจิง,จีน)<br /><br />3. Brussels (กรุงบรัสเซล,เบลเยี่ยม)<br /><br />4. Dubai (ดูไบ)<br /><br />5. Hongkokg (ฮ่องกง)<br /><br />6. Research Triangle Park (RTP)<br /><br />7. San Jose (สองสถานที่ข้างต้น 6,7 อยู่แถวๆโซนอเมริกา)<br /><br /> 8. Sao_Paolo (เซ้าเปาโล,บราซิล)<br /><br /> 9. Sydney (ซิดนีย์,ออสเตรเลีย)<br /><br />10. Tokyo (โตเกียว,ญี่ปุ่น)ค่าใช้จ่ายในเรื่อง CCIE Boot CAMP 250000 บาท ค่าสอบ มาคือว่า<br /><br /> Writing ค่าสอบ 300 เหรียญ หรือ 10500 บาทLab ค่าสอบ 1250 เหรียญ หรือ 43750 บาทไหนจะ<br /><br />ค่าบินไปสอบ ค่ากินก็คงตกอยู่ประมาณ 10000 บาท<br /> </span></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-24797740195378956382008-08-24T06:23:00.000-07:002008-08-24T06:25:02.744-07:00สรุปคำสั่ง OSPF<a href="http://puy-supansa.blogspot.com/2008/08/ospf.html"><span style="font-family:arial;color:#ff6666;">สรุปคำสั่ง OSPF</span></a><span style="font-family:arial;"> </span><span style="font-family:arial;"><br /></span><span style="font-family:arial;"><br /><span style="color:#00cccc;">OSPF เป็นเร้าติ้งโปรโตคอลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้บนเน็ตเวิร์ก IP โดยคณะทำงาน Interior Gateway Protocol (IGP) ย่อยแห่งคณะกรรมการ Internet Engineering Task Force (IETF) คณะทำงานนี้ได้ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1998 เพื่อทำหน้าที่ออกแบบเร้าติ้งโปรโตคอลที่ใช้บนเน็ตเวิร์กภายในองค์กร โดยมีพื้นฐานมาจากอัลกอริทึมในทางคอมพิวเตอร์แบบ Shortest Path First (SPF) อัลกอริทึมนี้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Dijkstra’S Algorithm ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อของนักคณิตศาสตร์ที่เป็นผู้ออกแบบและคิดค้นอับกอริทึมนี้OSPFได้รับการออกแบบมาเพื่อเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆที่เคยมีในเร้าติ้งโปรโตคอลแบบ Distance Vector OSPF นั้นสามารถตอบสนองได้รวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเน็ตเวิร์ก และมีการส่ง “triggered updates” ไปในทันทีโดยอัตโนมัติ และส่ง “Periodix update” ไปทุก ๆ ช่วงเวลาเช่น ทุก ๆ 30 นาที นอกจากนั้นยังมีกลไกล ที่ดีในการตรวจสอบสถานการณ์สื่อสาร ระหว่างเร้าเตอร์ปัจจุบันกับเร้าเตอร์ข้างเคียงต่าง ๆ ด้วย “ Hello Mechanism”โดยสรุปแล้ว OSPF มีคุณลักษณะที่สำคัญได้แก่- เป็นเร้าติ้งโปรโตคอลมาตรฐานและเป็นมาตรฐานสากล ข้อกำหนดและพฤติกรรมต่าง ๆ ได้รับการอธิบายไว้อย่างชัดเจนใน RFC (Request for Comments) IETF ได้พัฒนา OSPF ขึ้นมาในปี 1988 ส่วนเวอร์ชันล่าสุดซึ่งรู้จักกันในนาม OSPF เวอร์ชัน 2 ได้รับการอธิบายไว้ใน RFC 2328- เป็นเร้าติ้งโปรโตคอลที่อาศัยการอัปเดตสถานะของเน็ตเวิร์กอินเตอร์เฟซไปให้กับเร้าเตอร์เพื่อบ้านแล้วให้เร้าเตอร์เพื่อนบ้านสร้างภาพรวมของเน็ตเวิร์กทั้งหมด และคำนวณหาเส้นทางเอง แต่จะไม่ ส่งเร้าติ้งเทเบิลทั้งตารางไปให้เร้าเตอร์เพื่อนบ้านเหมือนกันในกรณีของ Distance Vector- มีการเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดโดยพิจารณาจากแบนด์วิดธ์ (Bandwidth)-รองรับการตั้งแอดเดรสแบบมีจำนวนบิตของ Subnet Mask ไม่เท่ากัน (Variable Length Subnet Mask: VLSM) และมีการส่ง Subnet Mask ไปให้เร้าเตอร์เพื่อนบ้านด้วย -รองรับการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “OSPF Area” ซึ่งสามารถทำให้เน็ตเวิร์กที่ใช้งาน OSPF สามารถจัดแบ่งเน็ตเวิร์กออกเป็นโซนหรือพื้นที่ย่อย ๆ ได้ (เรียกว่าการแบ่ง Area) ทั้งนี้เพื่อจำกัดสโคป หรือขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงเน็ตเวิร์กโทโพโลยี-รอบรับการทำ “Route summarization”-รองรับการทำการกระจายแพ็กเก็ตไปบนเส้นทางที่มีแบนด์วิดธ์เท่ากัน-สามารถทำ “Route authentication” ระหว่างเร้าเตอร์เพื่อตรวจสอบตัวตนซึ่งกันและกันก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน-ไวมากต่อพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงเน็ตเวิร์กโทโพโลยี (Fast convergence) Wireshark เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการดักจับ Packet ที่มีการรับส่งกันบนเครือข่าย ในการดักจับ Packet นั้น โปรแกรม Wireshark นั้นจะต้องทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายนั้นNetwork Diagram ที่ใช้ Wireshark ในการดักจับ packet แสดงภาพของ Network Diagram ที่ใช้ในการดักจับ Packet ของการทำงานของ Open Shortest Path First (OSPF) Protocol ซึ่งจะเป็นการติดต่อเปลี่ยนแปลง Update Routing Protocol ระหว่าง Core Switch และ Router ใน Area เดียวกับการค้นหาเร้าเตอร์ ข้างเคียงที่รัน OSPF จะเกิดขึ้นด้วยการส่งแพ็กเก็ตพิเศษที่เรียกว่า HELLO PACKET ออกไปไปโดยใช้มัลติคาสก์แอดเดรส 224.0.0.5 หลังจากนั้นแอดเดรสของเร้าเตอร์ ข้างเคียงที่ค้นพบได้จะถูกเก็บไว้ในตาราง OSPF Neighbor Tableผลลัพธ์ที่ได้จะแสดงหมายเลข IP Address ของเร้าเตอร์ และ Switch ข้างเคียง แต่ละตัวที่ค้นพบได้ทางซีเรียสอินเตอร์เฟซต่างๆ กัน เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านถูกสร้างขึ้นได้สำเร็จ สถานะ (State) ที่เห็นจะอยู่ในสถานะ FULL หลังจากฟอร์มความสัมพันธ์ระหว่างกันได้แล้ว เร้าเตอร์จะมีการส่ง Hello packet ออกไปให้เร้าเตอร์เพื่อนบ้านทุก ๆ ระยะๆ ตามช่วงเวลาที่เรียกว่า Hello Interval เพื่อยืนยันว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ หากเร้าเตอร์ไม่ได้ รับ HELLO PACKET มาจาเร้าเตอร์เพื่อนบ้านหลังจากช่วงเวลาที่เรียกว่า Dead Interval ผ่านไปมันตะถือว่าเร้าเตอร์เพื่อนบ้านนั้น ๆ ได้ดาวน์ลงไปรูปแบบของ Hello Packetในการสร้างความสัมพันธ์ของ Protocol OSPF จาก Core Switch ที่มี Source IP Address เป็น 172.18.19.252 ซึ่งมี Destination IP Address เป็น 244.0.0.5 (Multicast Address)BGP (Border Gateway Protocol) เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางประเภท Exterior Gateway Routing ที่ใช้เพื่อการเชื่อมต่อเราเตอร์ (Router) และเครือข่ายที่อยู่ต่างโดเมน (Domain) กันบนอินเทอร์เน็ตBGP ใช้ Protocol TCP Port หมายเลข 179 เพื่อใช้ในการขนถ่ายข้อมูลข่าวสาร โดยมีการใช้ TCP เพื่อการสถาปนาการเชื่อมต่อก่อนจะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเราเตอร์ BGP ทั้งสอง (Peer Router) จากนั้นก็จะทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งการเปิดสัมพันธไมตรีก่อนที่จะแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกันต่อไปข้อมูลข่าวสารที่เราเตอร์ทั้งสองใช้เพื่อการแลกเปลี่ยนกัน รวมไปถึงข่าวสารที่แสดงถึงความสามารถในการเข้าถึงกันได้ โดยข่าวสารนี้เป็นในรูปแบบของเลขหมาย AS ของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างฝ่ายถือเป็นเส้นทางในการเข้าหากัน ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราเตอร์สามารถสร้างผังของเส้นทางที่ปราศจากลูป (Loop) ในการเข้าหากัน อีกทั้งเราเตอร์ยังใช้เพื่อเป็นการกำหนดเส้นทางเชิงนโยบายที่มีเนื้อหาที่กำหนดข้อจำกัดต่าง ๆจุดประสงค์ของการใช้ BGP1.BGP ให้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเครือข่ายต่าง ๆ รวมทั้งลูกค้า และผู้ให้บริการโทรศัพท์ รวมทั้งเครือข่ายอื่น ๆ2.BGP เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายในรูปแบบของ Autonomous ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน3.BGP เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายในระดับ Enterprise หากองค์กรของท่านมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแบบหลายเชื่อมต่อเพื่อผลแห่ง Redundancy BGP ก็สามารถทำ Load Balancing Traffic ได้บนเส้นทางที่เป็น Redundant Link4.จัดเลือกเส้นทางผ่านทางเครือข่ายไปยัง Autonomous System อื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกัน5.มีการเชื่อมต่อระหว่าง Autonomous System มากกว่า 1 เส้น6.ควบคุมการลำเลียงข้อมูลข่าวสารที่วิ่งไปมาระหว่างระบบ Autonomous System7.ท่านยังสามารถใช้ Policy ที่กำหนดให้ท่านสามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดเพื่อเดินทางไปสู่ปลายทางRIP (Routing Information Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ใช้อย่างกว้างขวาง สำหรับการจัดการสารสนเทศของ router ภายในเครือข่าย เช่น เครือข่าย LAN ของบริษัท หรือการติดต่อภายในกลุ่ม ของเครือข่าย RIP ได้รับการจัดชั้นโดย Internet Engineering Task Force (IETF) ให้เป็นหนึ่งในโปรโตคอลของ Internet Gateway Protocol (หรือ Interior Gateway Protocol)การใช้ RIP, gateway host (ที่มี router) จะส่งตาราง routing (ซึ่งมีรายการของ host ทั้งหมดที่ทราบ) ไปยัง host ใกล้เคียงทุก 30 วินาที host ใกล้เคียง จะส่งต่อสารสนเทศไปยัง host ต่อไป จนกระทั่งภายในเครือข่าย จะมีข้อมูลเส้นทางเหมือนกัน สถานะนี้เรียกว่า network convergence การหาระยะของเครือข่าย RIP ใช้การนับแบบ hop เป็นวิธีการในการค้นหา (โปรโตคอลอื่นใช้อัลกอริทึมที่ทันสมัยกว่า เช่น เวลา) แต่ละ host ที่มี router ในเครือข่ายใช้ตารางสารสนเทศ routing ในการค้นหา host ต่อไป เพื่อหาเส้นทางให้กับแพ็คเกต สำหรับปลายทางที่กำหนดRIP ได้รับการพิจารณาว่าคำตอบที่มีประสิทธิผล สำหรับเครือข่าย homogeneous ขนาดเล็ก สำหรับเครือข่ายที่ซับซ้อน การส่งผ่านตาราง routing ทุก 30 วินาทีของ RIP อาจจะทำให้จำนวนรวม ของการใช้เครือข่ายหนาแน่นขึ้น<br /> </span></span><br /></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-15462240325264312052008-08-05T19:16:00.000-07:002008-08-06T02:35:45.632-07:00สอบเก็บคะแนนครั้งที่ 2<span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff6666;">1. Router มีกี่โหมด อะไรบ้าง อธิบายให้ละเอียด</span><br /><span style="color:#00cccc;">ตอบ 1. Router มีกี่โหมด อะไรบ้างRouting มีอยู่ 2 แบบ หลักๆ ได้แก่<br />- แบบสเตติก (Static Route)<br />- แบบไดนามิก (Dynamic Route)<br /><br />Static คือการเลือกเส้นทางแบบ Static นี้ การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด กระทำโดยผู้บริหาจัดการเครือข่าย ค่าที่ถูกป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล เครือข่า เข้ามาจัดการทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้ มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้<br />-เหมาะสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก<br />-เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ ตายตัว<br />-ไม่ต้องใช้ Software เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น-ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง<br /><br />การจัดตั้ง Configuration สำหรับการเลือกเส้นทางแบบ Staticเป็นที่ทราบดีแล้วว่า การเลือกเส้นทางแบบ Static เป็นลักษณะการเลือกเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยผู้จัดการเครือข่าย เพื่อกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ตายตัว หรือเจาะจงเส้นทางปกติ Router สามารถ Forward Packet ไปข้างหน้า บนเส้นทางที่มันรู้จักเท่านั้น ดังนั้นการกำหนดเส้นทางเดินของแพ็กเก็ตให้กับ Router จึงควรให้ความระมัดระวังวิธีการจัด Configure แบบ Static Route ให้กับ Router Cisco ให้ใส่คำสั่ง ip route ลงไปที่ Global Configuration Mode มีตัวอย่างการใช้คำสั่ง ดังนี้ip route network [ mask ] {address interface} [distance] [permanent]<br />-Network เครือข่าย หรือ Subnet ปลายทาง<br />-Mask หมายถึงค่า Subnet mask<br />-Address IP Address ของ Router ใน Hop ต่อไป</span></span><br /><span style="font-family:arial;color:#00cccc;">-Interface ชื่อของ Interface ที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่หมายปลายทาง<br />-Distance หมายถึง Administrative Distance<br />-Permanent เป็น Option ถูกใช้เพื่อกำหนด เส้นทางที่ตั้งใจว่าจะไม่มีวันถอดถอนทิ้ง ถึงแม้ว่า จะปิดการใช้งาน Interface ก็ตาม</span><br /><span style="font-family:arial;color:#00cccc;">dynamic คือ<br />Exterior Gateway Routing Protocol<br />Distance Vector Routing Protocol<br />Link State Routing Protocol<br />เนื่องจาก จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีแนวคิดในการจัดตั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ Router เพื่อเชื่อมต่อกัน<br /><br />ระหว่างเครือข่าย และเนื่องจากขอบข่ายของหลักวิชาการด้านนี้ ค่อนข้างกว้าง จึงขอตีกรอบให้แคบลง โดยจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเพียงบางส่วนในการจัดตั้ง Router ที่ท่านสามารถนำไปใช้ได้ รู้จักกับ Distance Vector Routing Protocol Distance Vector เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing และจัดการนำแพ็กเก็ต ส่งออก ไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า ระยะทางที่ใกล้ที่สุด เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส ของเครือข่ายปลายทางเป็น VectorDistance Vector บางครั้งจะถูกเรียกว่า "Bellman-Ford Algorithm" ซึ่งโปรโตคอลนี้ จะทำให้ Router แต่ละตัว ที่อยู่บนเครือข่ายจะต้องเรียนรู้ลักษณะของ Network Topology โดยการแลกเปลี่ยน Routing Information ของตัวมันเอง กับ Router ที่เชื่อมต่อกันเป็นเพื่อนบ้าน โดยตัว Router เองจะต้องทำการจัดสร้างตารางการเลือกเส้นทางขึ้นมา โดยเอาข้อมูล ข่าวสารที่ได้รับจากเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง ( ข้อมูลนี้ครอบคลุมไปถึงระยะทางระหว่าง Router ที่เชื่อมต่อกัน)<br />หลักการทำงานได้แก่การที่ Router จะส่งชุด สำเนาที่เป็น Routing Information ชนิดเต็มขั้นของมันไปยัง Router ตัวอื่นๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันโดยตรง ด้วยการแลกเปลี่ยน Routing Information กับ Router ตัวอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงนี้เอง ทำให้ Router แต่ละตัว จะรู้จักซึ่งกันและกัน หรือรู้เขารู้เรา กระบวนการแลกเปลี่ยนนี้ จะดำเนินต่อไปเป็นห้วงๆ ของเวลาที่แน่นอนDistance Vector Algorithm ค่อนข้างเป็นแบบที่เรียบง่าย อีกทั้งออกแบบเครือข่ายได้ง่ายเช่นกัน ปัญหาหลักของของ Distance Vector Algorithm ได้แก่ การคำนวณเส้นทาง จะซับซ้อนขึ้น เมื่อขนาดของเครือข่ายโตขึ้น ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ทำงานภายใต้ Distance Vector Algorithm ได้แก่ อาร์ไอพี (RIP) หรือ Routing<br /><br />Information Protocol<br />Link State Routing<br />Link State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path First (SPF)"<br />Algorithm ด้วย Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง<br />Router ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไป ถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกัน ด้วยวิธีการของ Link State นี้ Router แต่ละตัวจะทำการสร้างผังที่สมบูรณ์ของเครือข่ายขึ้น จากข้อมูลที่มันได้รับจาก Router อื่นๆทั้งหมด จากนั้นจะนำมาทำการคำนวณเส้นทางจากผังนี้โดยใช้ Algorithm ที่เรียกว่า Dijkstra Shortest Path AlgorithmRouter จะเฝ้าตรวจสอบดูสถานะของการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างแพ็กเก็ตกับ Router เพื่อนบ้าน แต่หาก Router ไม่ตอบสนองต่อความพยายามที่จะติดต่อด้วย หลายๆครั้ง การเชื่อมต่อก็จะถือว่าตัดขาดลง แต่ถ้าหากสถานะ ของ Router หรือการเชื่อมต่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลข่าวสารนี้จะถูก Broadcast ไปยัง Router ทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่ายการจัดตั้ง Configure ให้กับวิธี การจัดเลือกเส้นทางแบบ Dynamic ในการจัดตั้งค่าสำหรับการเลือกเส้นทาง (Routing) แบบ Dynamic จะมี 2 คำสั่งสำหรับการใช้งาน ได้แก่ คำสั่ง Router และ Network โดยคำสั่ง Router เป็นคำสั่งที่ทำให้เริ่มต้นการเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้น รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้</span><br /><span style="font-family:arial;"><br /><span style="color:#00cccc;">Router (config)#router protocol [keyword]<br />ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายรายละเอียดของรูปแบบคำสั่ง<br />Protocol เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบใดแบบหนึ่ง ระหว่าง RIP IGRP OSPF หรือ Enhanced IGRP<br />Keyword ตัวอย่าง เช่น เลขหมายของ Autonomous ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับโปรโตคอลที่ต้องการระบบ Autonomous<br /><br />ได้แก่ โปรโตคอล IGRP คำสั่ง Network ก็เป็นคำสั่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเช่นกัน เนื่องจากมันสามารถกำหนดว่า Interface ใดที่จะเกี่ยวข้องกับการรับหรือส่ง Packet เพื่อการ Update ตารางเลือกเส้นทาง ขณะเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้นคำสั่ง Network จะเป็นคำสั่งที่ทำให้ โปรโตคอลเลือกเส้นทางเริ่มต้นทำงานบน Interface ต่างๆ ของ Router อีกทั้งยังทำให้ Router สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์เครือข่ายที่ตนดูแลอยู่ ได้อีกด้วย รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้</span><br /><span style="color:#00cccc;"></span><br /><span style="color:#00cccc;">Router (config-router)#network network- numberNetwork-number ในที่นี้หมายถึง เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง และ Network Number จะต้องอยู่ในมาตรฐาน เลขหมาย ของ INTERNIC</span><br /><br /><br /><span style="color:#ff6666;">2.จงบอกคำสั่งในแต่ละโหมดมาอย่างน้อย 5 คำสั่ง</span><br /><span style="color:#ff6666;"></span><br />ตอบ คำสั่ง<br /><span style="color:#00cccc;">access-enable</span><br />เป็นการสร้าง Access List entry ชั่วคราว<br /><span style="color:#00cccc;">clear</span><br />เป็นการ reset ค่า configure ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว<br /><span style="color:#00cccc;">connect</span><br />ใช้เพื่อ เปิด connection กับ terminal<br /><span style="color:#00cccc;">disable</span><br />ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged mode<br /><span style="color:#00cccc;">enable</span><br />เข้าสู่ privileged Exec mode<br /><span style="color:#00cccc;">exit</span><br />ออกจากการใช้ User Exec mode<br /><span style="color:#00cccc;">help</span><br />ใช้เพื่อแสดงรายการ help<br /><span style="color:#00cccc;">lat</span><br />เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย VAX)<br /><span style="color:#00cccc;">lock</span><br />ใช้เพื่อ lock terminal<br /><span style="color:#00cccc;">login</span><br />เข้ามาเป็น userlogout<br /><span style="color:#00cccc;">login</span><br />exit ออกจาก EXE<br /><span style="color:#00cccc;">Cmrinfo</span><br />ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก<br />multicast router ตัวหนึ่ง<br /><span style="color:#00cccc;">mstat</span><br />แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ Multicast ของ Router แล้ว<br /><span style="color:#00cccc;">mtrace</span><br />ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง<br /><span style="color:#00cccc;">name-connection</span><br />เป็นการให้ชื่อกับ การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่<br /><span style="color:#00cccc;">pad</span><br />เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29 PAD<br /><span style="color:#00cccc;">Ping</span><br />ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ<br /><span style="color:#00cccc;">ppp</span><br />ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP<br /><span style="color:#00cccc;">resume</span><br />ใช้เพื่อการ กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง<br /><span style="color:#00cccc;">rlogin</span><br />เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server ระยะไกล<br /><span style="color:#00cccc;">show</span><br />แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Routerในปัจจุบัน<br /><span style="color:#00cccc;">slip</span><br />เริ่มการใช้งาน Slip (serial line protocol)<br /><span style="color:#00cccc;">systat</span><br />เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line เช่นสถานะของระบบ<br /><span style="color:#00cccc;">telnet</span><br />เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง Telnet<br /><span style="color:#00cccc;">terminal</span><br />เป็นการจัดParameter ของ Terminal Line<br /><span style="color:#00cccc;">traceroute</span><br />เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู ระบบที่อยู่ปลายทาง<br /><span style="color:#00cccc;">tunnel</span><br />เปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel<br /><span style="color:#00cccc;">where</span><br />แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Activeในปัจจุบัน<br /><br /><span style="color:#ff6666;">3. Command prompt ในโหมดต่างๆ</span><br /><span style="color:#ff6666;"></span><br /><span style="color:#ff99ff;">ตอบ<br /></span></span><a name="2"><span style="font-family:arial;color:#ff99ff;">Command Mode </span></a><br /><span style="font-family:arial;color:#ff99ff;">Command Mode หลักภายใน Cisco IOS ได้แก่<br />User Exec Mode<br />Privileged Exec Mode<br />Global ConfigurationMode<br />Interface Configuration<br />Boot Mode</span><br /></span><span style="font-family:arial;"><br /><span style="color:#ff0000;">4. Use exec mode พร้อมรายละเอียด</span> </span><br /><span style="font-family:arial;"><br /><span style="color:#00cccc;">ตอบ Command Mode หลักภายใน Cisco IOS ได้แก่<br />User Exec Mode<br />Privileged Exec Mode<br />Global Configuration Mode<br />Interface Configuration<br />Boot Mode<br />User Exec Mode<br />User Exec Mode เป็นโหมดแรกที่ท่านจะต้อง Enter เข้าไป เมื่อRouter เริ่มทำงาน วิธีที่จะรู้ว่าท่านได้เข้าสู่ User Exec Mode จาก Prompt ของ Router ได้แก่ Prompt ที่แสดงบนหน้าจอ ได้แก่ ชื่อของ Router แล้วตามด้วย<br /><br />เครื่องหมาย > เช่น<br />Routerhostname ><br />ต่อไปนี้ เป็นตารางแสดงรายการคำสั่ง ภายใต้ User Exec Commands<br />ตารางที่ 1แสดงรายการคำสั่ง ภายใต้ User Exec Commandsคำสั่ง<br />access-enable เป็นการสร้าง Access List entry ชั่วคราว<br />clear เป็นการ reset ค่า configure ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว<br />connect ใช้เพื่อ เปิด connection กับ terminal<br />disable ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged mode<br />disconnect ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ network<br />enable เข้าสู่ privileged Exec mode<br />exit ออกจากการใช้ User Exec mode<br />help ใช้เพื่อแสดงรายการ help<br />lat เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย VAX)<br />lock ใช้เพื่อ lock terminal<br />login loginเข้ามาเป็น user<br />logout exit ออกจาก EXEC<br />mrinfo ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง<br />mstat แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ Multicast ของ Router แล้ว<br />mtrace ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง<br />name-connection เป็นการให้ชื่อกับ การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่<br />pad เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29 PAD<br />Ping ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ<br />ppp ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบPPP<br />resume ใช้เพื่อการ กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง<br />rlogin เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server ระยะไกล<br />show ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router ในปัจจุบัน<br />slip เริ่มการใช้งาน Slip (serial line protocol)<br />systat เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line เช่นสถานะของระบบ<br />telnet เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง Telnet<br />terminal เป็นการจัด Parameter ของ Terminal Line<br />traceroute เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู ระบบที่อยู่ปลายทาง<br />tunnel เปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel<br />where แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active ในปัจจุบัน</span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">5.คำสั่งที่ใช้ตรวจสอบสถานะของRout จงบอกอย่างน้อย 5 คำสั่ง</span> </span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#33ff33;">1.access-enable เป็นการสร้าง Access List entry ชั่วคราว<br />2.clear เป็นการ reset ค่า configure ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว<br />3.connect ใช้เพื่อ เปิด connection กับ terminal disableปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged mode<br />4.disconnect ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ network enable เข้าสู่ privileged Exec mode<br />5.exit ออกจากการใช้ User Exec mode<br />6.help ใช้เพื่อแสดงรายการ help<br />7.lat เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย VAX)<br />8.lock ใช้เพื่อ lock terminal<br />9.login loginเข้ามาเป็น user logoutexit ออกจาก EXEC<br />10. mrinfo ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง<br />11.mstat แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ Multicast ของ Router แล้ว<br />12.mtrace ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง<br />13.name-connection เป็นการให้ชื่อกับ การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่<br />14.pad เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29 PAD<br />15.Ping ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ<br />16.ppp ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP<br />17.resume ใช้เพื่อการ กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง<br />18.rlogin เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server ระยะไกล<br />19.show แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router ในปัจจุบัน<br />20.slip เริ่มการใช้งาน Slip (serial line protocol)<br />21.systat เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line เช่นสถานะของระบบ<br />22.telnet เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง Telnet<br />23.terminal เป็นการจัด Parameter ของ Terminal Line<br />24.traceroute เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู ระบบที่อยู่ปลายทาง<br />25.tunnel เปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel<br />26.where แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active ในปัจจุบัน </span><br /><span style="font-family:arial;"><br /><span style="color:#ff0000;">6. การเลือกเส้นทางแบบ Static คืออะไร</span><br /><br /><span style="color:#ff9966;">ตอบ การเลือกเส้นทางแบบ Static นี้ การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด กระทำโดยผู้บริหาจัดการเครือข่าย ค่าที่ถูก ป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล เครือข่ายเข้ามาจัดการทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้ มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้<br />-เหมาะสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก<br />-เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ ตายตัว-ไม่ ต้องใช้ Software เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น<br />-ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางการจัดตั้ง Configuration สำหรับการเลือกเส้นทางแบบ Staticเป็นที่ ทราบดีแล้วว่า การเลือกเส้นทางแบบ Static เป็นลักษณะการเลือกเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยผู้จัดการเครือข่าย เพื่อกำหนดเส้นทางการ เดินทางของข้อมูลที่ตายตัว หรือเจาะจงเส้นทางปกติ Router สามารถ Forward Packet ไปข้างหน้า บนเส้นทางที่มันรู้จัก เท่านั้น ดังนั้นการกำหนดเส้นทางเดินของแพ็กเก็ตให้กับ Router จึงควรให้ความระมัดระวังวิธีการจัด Configure แบบ Static Route ให้กับ Router Cisco ให้ใส่คำสั่ง ip route ลงไปที่ Global Configuration Mode มี ตัวอย่างการใช้คำสั่ง ดังนี้ip route network [ mask ] {address interface} [distance] [permanent]<br />-Network เครือข่าย หรือ Subnet ปลายทาง-Mask หมายถึงค่า Subnet mask<br />-Address IP Address ของ Router ใน Hop ต่อไป<br />-Interface ชื่อของ Interface ที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่หมายปลายทาง<br />-Distance หมายถึง </span><span style="color:#ff9966;">Administrative Distance-Permanent เป็น Option ถูกใช้เพื่อกำหนด เส้นทางที่ ตั้งใจว่าจะไม่มีวันถอดถอนทิ้ง ถึงแม้ว่า จะปิดการใช้งาน Interface ก็ตาม </span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">7. การเลือกเส้นทางแบบ Dynamicคืออะไร</span><br /><br /><span style="color:#000099;">ตอบ dynamic คือ ประเภทของโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic โปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic มีอยู่ หลายรูปแบบ ดังนี้ Exterior Gateway Routing Protocol Distance Vector Routing Protocol Link State Routing Protocol เนื่องจาก จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีแนวคิดในการจัดตั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ Router เพื่อเชื่อมต่อกัน ระหว่างเครือข่าย และเนื่องจากขอบข่ายของหลักวิชาการด้านนี้ ค่อนข้างกว้าง จึงขอตีกรอบให้แคบลง โดยจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเพียง บางส่วนในการจัดตั้ง Router ที่ท่านสามารถนำไปใช้ได้ รู้จักกับ Distance Vector Routing Protocol Distance</span><br /><span style="color:#000099;">Vector เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing และจัดการนำแพ็กเก็ต ส่งออก ไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ที่จะนำ แพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า ระยะทางที่ใกล้ที่สุด เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส ของเครือข่ายปลายทางเป็น VectorDistance Vector บางครั้งจะถูกเรียกว่า "Bellman-Ford Algorithm" ซึ่งโปรโตคอลนี้ จะทำให้ Router แต่ละตัว ที่อยู่บนเครือข่ายจะต้องเรียนรู้ลักษณะของ Network Topology โดยการแลกเปลี่ยน Routing Information ของตัวมันเอง กับ Router ที่เชื่อมต่อกันเป็นเพื่อนบ้าน โดยตัว Router เองจะต้องทำการจัดสร้างตารางการ เลือกเส้นทางขึ้นมา โดยเอาข้อมูล ข่าวสารที่ได้รับจากเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง ( ข้อมูลนี้ครอบคลุมไปถึงระยะทางระหว่าง Router ที่เชื่อมต่อกัน) หลักการทำงานได้แก่การที่ Router จะส่งชุด สำเนาที่เป็น Routing Information ชนิดเต็มขั้นของมันไปยัง Router ตัวอื่นๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันโดยตรง ด้วยการแลกเปลี่ยน Routing Information กับ Router ตัวอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับมัน โดยตรงนี้เอง ทำให้ Router แต่ละตัว จะรู้จักซึ่งกันและกัน หรือรู้เขารู้เรา กระบวนการแลกเปลี่ยนนี้ จะดำเนินต่อไปเป็นห้วงๆ ของ เวลาที่แน่นอน Distance Vector Algorithm ค่อนข้างเป็นแบบที่เรียบง่าย อีกทั้งออกแบบเครือข่ายได้ง่ายเช่นกัน ปัญหาหลักของของ Distance Vector Algorithm ได้แก่ การคำนวณเส้นทาง จะซับซ้อนขึ้น เมื่อขนาดของเครือข่ายโตขึ้น ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ทำงานภายใต้ Distance Vector Algorithm ได้แก่ อาร์ไอพี (RIP) หรือ Routing Information Protocol Link State</span><br /><span style="color:#000099;">RoutingLink State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path First (SPF)" Algorithm ด้วย Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง Router ที่เชื่อมต่อกับมัน โดยตรงแบบเป็นระยะๆ ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไป ถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกัน ด้วยวิธีการของ Link</span><br /><span style="color:#000099;">State นี้ Router แต่ละตัวจะทำการสร้างผังที่สมบูรณ์ของเครือข่ายขึ้น จากข้อมูลที่มันได้รับจาก Router อื่นๆทั้งหมด จากนั้นจะนำมาทำการคำนวณเส้นทางจากผังนี้โดยใช้ Algorithm ที่เรียกว่า Dijkstra Shortest<br />Path AlgorithmRouter จะเฝ้าตรวจสอบดูสถานะของการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างแพ็กเก็ตกับ Router เพื่อนบ้าน แต่หาก Router ไม่ตอบสนองต่อความพยายามที่จะติดต่อด้วย หลายๆครั้ง การเชื่อมต่อก็จะถือว่าตัดขาดลง แต่ ถ้าหากสถานะ ของ Router หรือการเชื่อมต่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลข่าวสารนี้จะถูก Broadcast ไปยัง Router ทั้งหมด ที่อยู่ในเครือข่าย การจัดตั้ง Configure ให้กับวิธี การจัดเลือกเส้นทางแบบ Dynamic ในการจัดตั้งค่าสำหรับการเลือกเส้นทาง (Routing) แบบ Dynamic จะมี 2 คำสั่งสำหรับการใช้งาน ได้แก่ คำสั่ง Router และ Network โดยคำสั่ง Router เป็นคำสั่งที่ทำให้เริ่มต้นการเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้น รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้ Router (config)#router protocol [keyword]<br />ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายรายละเอียดของรูปแบบคำสั่ง Protocol เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบใดแบบหนึ่ง ระหว่าง RIP IGRP OSPF หรือ Enhanced IGRPKeyword ตัวอย่าง เช่น เลขหมายของ Autonomous ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับโปรโตคอลที่ต้องการระบบ Autonomous ได้แก่ โปรโตคอล IGRPคำสั่ง Network ก็เป็นคำสั่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเช่นกัน เนื่องจากมัน สามารถกำหนดว่า Interface ใดที่จะเกี่ยวข้องกับการรับหรือส่ง Packet เพื่อการ Update ตารางเลือกเส้นทาง ขณะเกิด กระบวนการเลือกเส้นทางขึ้นคำสั่ง Network จะเป็นคำสั่งที่ทำให้ โปรโตคอลเลือกเส้นทางเริ่มต้นทำงานบน Interface ต่างๆ ของ Router อีกทั้งยังทำให้ Router สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์เครือข่ายที่ตนดูแลอยู่ ได้อีกด้วย รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้<br />Router (config-router)#network network- numberNetwork-number ในที่นี้หมายถึง เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง และ Network Number จะต้องอยู่ในมาตรฐาน เลขหมาย ของ INTERNIC</span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">8. Protocal ที่เลือกเส้นทางแบบ dynamic มีอะไรบ้าง</span><br /><br /><span style="color:#ff6600;">ตอบ โปรโตคอ</span><span style="color:#ff6600;">ลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic มีอยู่ หลายรูปแบบ ดังนี้<br />1. Interior Gateway Routing Protocol<br />2.Exterior Gateway Routing Protocol<br />3. Distance Vector Routing Protocol<br />4. Link State Routing ProtocolInterior เป็น Protocol ที่ใช้แลกเปลี่ยนฐานความรู้ระหว่าง Roter<br /><br />ภายในองค์กรเดียวกัน ซึ่งได้แก่ RIP , IGRP ,EIGRP และ OSPF Exterior เป็น Protocol ที่ใช้แลกเปลี่ยน<br />ฐานความรู้ต่างองค์กรกันหรือความน่าเชื่อถือต่างกัน ซึ่งได้แก่ BGP, EGP Distance Vector เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทาง ที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing และจัดการนำแพ็กเก็ตส่งออกไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับ ระยะทาง เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า ระยะทางที่ใกล้ ที่สุด เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส ของเครือข่ายปลายทางเป็น VectorLink State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path First (SPF)" Algorithm ด้วย Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง Router ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไปถึง สถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกันRouting Protocols (เส้นทางการเชื่อมต่อ)Exterior routing Protocol (EGP) เป็นโปรโตคอล สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของ router ระหว่าง 2 เครือข่ายของ gateway host ในระบบ เครือข่ายแบบอัตโนมัติ ซึ่ง EGP มีการใช้โดยทั่วไป ระหว่าง host บนอินเตอร์เน็ต เพื่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศของตาราง routing โดยตาราง routing ประกอบด้วยรายการ router ตำแหน่งที่ตั้ง และเมทริกของค่าใช้จ่ายของแต่ละ router เพื่อทำให้สามารถ เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด กลุ่มของ router แต่ละกลุ่มจะใช้เวลาภายใน 120 วินาที ถึง 480 วินาที ในการส่งข้อมูลส่งตาราง routing ทั้งหมดไปยังเครือข่ายอื่น ซึ่ง EGP -2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของ EGP Border Gateway Protocol (BGP) เป็นโปรโตคอลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเส้นทางระหว่าง gateway host (ซึ่งแต่ละที่จะมี router ของ ตัวเอง) ในเครือข่ายแบบอัตโนมัติ BGP มักจะได้รับการใช้ระหว่าง gateway host บนระบบอินเตอร์เน็ต ตาราง routing ประกอบด้วยรายการของ router ตำแหน่งและตารางค่าใช้จ่าย (cost metric) ของเส้นทางไปยังrouterแต่ละตัวเพื่อการ เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด host ที่ใช้การติดต่อด้วยประเภทของ Routing ภายใน Network ที่เชื่อมต่อกับเนตเวิคโดยตรง Routing Information Protocol (RIP) เป็นโปรโตคอลที่ใช้อย่างกว้างขวาง สำหรับการจัดการสารสนเทศของ router ภายในเครือข่าย เช่น เครือข่าย LAN ของบริษัท หรือการติดต่อภายในกลุ่ม ของเครือข่าย RIP ได้รับการจัดชั้นโดย Internet Engineering Task Force (IETF) ให้เป็นหนึ่งในโปรโตคอลของInternet Gateway</span><br /><span style="color:#ff6600;">Protocol (หรือ InteriorGatewayProtocol)Open Shortest Path First (OSPF) ถือเป็น เร้าติ้ง โปรโตคอล (Routing Protocol) ตัวหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในระบบเน็ตเวิร์ก เนื่องจากมีจุดเด่นในหลาย ด้าน เช่น การที่ตัวมันเป็น Routing Protocol แบบ Link State, การที่มีอัลกอรึทึมในการค้นหาเส้นทางด้วยตัวเอง ซึ่ง เปรียบเสมือนว่า ตัวของ เราเตอร์ที่รัน OSPF ทุกตัวเป็นรูท (Root) หรือ จุดเริ่มต้นของระบบไปยังกิ่งย่อยๆ หรือโหนด (Node) ต่างๆ ซึ่งเป็นเทคนิคในการลดเส้นทางที่วนลูป (Routing Loop) ของการ Routing ได้เป็นอย่างดีEnhance Interior Gateway Routing Protocol (EIGRP) นั้นถือได้ว่าเป็น เราติ้งโปรโตคอลที่มีความรวดเร็วสูงสุดของซิสโก้ในการ ค้นหาเส้นทางภายใน Intra-AS (Interior Routing Protocol: เราติ้งโปรโตคอลภายใน Autonomous System) ซึ่ง ในเราติ้งโปรโตคอลแบบ EIGRP นี้ จะเป็นการนำเอาข้อดีของการเราติ้งแบบ Distance Vector และ Link State มาผสมผสานกัน (ในหนังสือบางเล่มจะเรียก เราติ้งโปรโตคอลแบบนี้ว่า “Hybrid” (ลูกผสม) หรือ Advanced Distance Vector)</span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">9. อธิบาย Protocal Distance Vector ให้เข้าใจ</span><br /><br /><span style="color:#990000;">ตอบ ลักษณะที่สำคัญของการติดต่อแบบ Distance-vector คือ ในแต่ละ Router จะมีข้อมูล routing table เอาไว้ พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล โดยพิจารณาจากระยะทางที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทางเป็นหลัก จากรูป Router A จะทราบว่าถ้าต้องการ ส่งข้อมูลข้ามเครือข่ายไปยังเครื่องที่อยู่ใน Network B แล้วนั้น ข้อมูลจะข้าม Router ไป 1 ครั้ง หรือเรียกว่า 1 hop ในขณะ ที่ส่งข้อมูลไปยังเครื่องใน Network C ข้อมูลจะต้องข้ามเครือข่ายผ่าน Router A ไปยัง Router B เสียก่อน ทำให้การ เดินทางของข้อมูลผ่านเป็น 2 hop อย่างไรก็ตามที่ Router B จะมองเห็น Network B และ Network C อยู่ห่าง ออกไปโดยการส่งข้อมูล 1 hop และ Network A เป็น2 hop ดังนั้น Router A และ Router B จะมองเห็นภาพ ของเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยู่แตกต่างกันเป็นตารางข้อมูล routing table ของตนเอง จากรูปการส่งข้อมูลตามลักษณะของ Distance-vector routing protocol จะเลือกหาเส้นทางที่ดีที่สุดและมีการคำนวณตาม routing algorithm เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ซึ่งมักจะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดและมีจำนวน hop น้อยกว่า โดยอุปกรณ์ Router ที่เชื่อมต่อกันมักจะมีการ ปรับปรุงข้อมูลใน routing table อยู่เป็นระยะๆ ด้วยการ Broadcast ข้อมูลทั้งหมดใน routing table ไปใน เครือข่ายตามระยะเวลาที่ตั้งเอาไว้การใช้งานแบบ Distance-vector เหมาะกับเครือข่ายที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและมีการเชื่อมต่อที่ ไม่ซับซ้อนเกินไป ตัวอย่างโปรโตคอลที่ทำงานเป็นแบบ Distance-vector ได้แก่ โปรโตคอล RIP (Routing Information Protocol) และโปรโตคอล IGRP (Interior Gateway Routing Protocol) เป็นต้น<br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">10. Protocol BGP คืออะไรมีหลักการทำงานอย่างไร</span><br /><br /><span style="color:#ff6666;">ตอบ Border Gateway Protocol (BGP) เป็นโปรโตคอลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเส้นทางระหว่าง<br />gateway host (ซึ่งแต่ละที่จะมี router ของตัวเอง) ในเครือข่ายแบบอัตโนมัติ BGP มักจะได้รับการใช้ระหว่าง gateway host บนระบบอินเตอร์เน็ต ตาราง routing ประกอบด้วยรายการของ router ตำแหน่งและตารางค่าใช้จ่าย (cost metric) ของเส้นทางไปยัง router แต่ละตัว เพื่อการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด host ที่ใช้การติดต่อด้วย BGP จะใช้ Transmission Control Protocol (TCP) และส่งข้อมูลที่ปรับปรุงแล้วของตาราง router เฉพาะ host ที่พบว่า มีการเปลี่ยนแปลง จึงมีผลเฉพาะส่วนของตาราง router ที่ส่ง BGP-4 เป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งให้ผู้บริหารระบบทำการคอนฟิก cost metric ตามนโยบาย การติดต่อด้วย BGP ของระบบ แบบอัตโนมัติที่ใช้ Internet BGP (IBGP) จะทำงานได้ไม่ ดีกับ IGP เนื่องจาก router ภายในระบบอัตโนมัติต้องใช้ตาราง routing 2 ตาราง คือ ตารางของ IGP (Internet gateway protocol) และตารางของ IBGP BGP เป็นโปรโตคอลที่ทันสมัยกว่า Exterior Gateway Protocol</span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">11. สายใยแก้วนำแสงมีกี่ชนิด</span> </span><br /><span style="font-family:arial;"><br />ตอบ ชนิดคือไฟเบอร์ออฟติค<br /><br /><span style="color:#ff0000;">12. สัญญาณแก้วใยแก้วนำแสงต่างๆ</span><br /><br /><span style="color:#cc66cc;">ตอบ อนาล็อกกับดิจิตอล </span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">13. จงบอกข้อดีของเส้นใยแก้วนำแสง </span><br /><span style="color:#ff0000;"><br /></span><span style="color:#330033;">1. มีน้ำหนักเบาและไม่เป็นสนิม ซึ่งเหมาะมากสำหรับใช้งานในยานอวกาศ และรถยนต์<br />2. เส้นใยแสง 1 เส้น สามารถที่จะมีช่องสัญญาณเสียงได้มากเท่ากับ 1500 คู่สาย<br />3. ความห่างของตัวขยายสัญญาณสำหรับเส้นใยแสงมีค่าตั้งแต่ 35 ถึง 80 กิโลเมตร ซึ่งตรงข้ามกับสายธรรมดา ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 1 ถึงแค่ 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น<br />4. เส้นใยแสงจะไม่มีการรบกวนจากฟ้าแลบ และการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า</span><br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">14. ขนาดของ core และ cladding ในเส้นใยแก้วนำแสงแต่ละชนิด </span><br /><span style="color:#ff0000;"><br /></span><span style="color:#33cc00;">ตอบ แท่งควอร์ต ซึ่งผ่านกระบวนการ Modefied Chemical Vapor Deposition (MCVD) แล้วจะถูกวางใน<br />แนวตั้งในหอดึง (Drawing Tower) ซึ่งจะถูกให้ความร้อนต่ออีก (2200 F) และถูกดึงลงด้านล่าง โดยหลักการของการ หลอมเหลวควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และขบวนการการดึง เพื่อจะทำให้เส้นใยแสงคุณภาพสูง มีความยาวประมาณ 6.25 กิโลเมตร และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 125 ไมโครเมตร ศูนย์กลางซึ่งถูกเรียกว่า แกน หรือ CORE (เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ไมโครเมตร) จะถูก ล้อมรอบด้วยควอร์ตที่บริสุทธิ์น้อยกว่า ซึ่งถูกเรียกว่า ชั้นคลุม หรือ cladding (ขอบเขตประมาณ 117 ไมโครเมตร </span><br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">15. การเชื่อมต่อดดยวิธีการหลอมรวม ทำได้โดยวิธีใด</span><br /><br /><span style="color:#339999;">ตอบ การเชื่อมต่อแบบหลอมรวม เป็นการเชื่อมต่อ Fiber Optic สองเส้นเข้าด้วยกัน โดยการให้ความร้อนที่ปลายของเส้น Fiber Optic จากนั้นปลายเส้น Fiber Optic จะถูกดันออกมาเชื่อมต่อกัน การเชื่อมต่อกันในลักษณะนี้ เป็นการเชื่อมต่อโดย ถาวร จนทำให้ดูเหมือนรวมเป็นเส้นเดียวกัน การสูญเสียจากการเชื่อมต่อในลักษณะนี้ จะทำให้มีความสูญเสีย ประมาณ 0.01 - 0.2 dB ในขั้นตอนการเชื่อมต่อนี้ ความร้อนที่ทำให</span><br /><span style="color:#339999;">ปลายเส้น Fiber Optic อ่อนตัวลงด้วยประกายไฟที่เกิดจากการ Arc ระหว่างขั้ว Electrode ขณะทำการ หลอมรวม ซึ่งจะยังผลให้การเชื่อมต่อของ Fiber Optic</span><br /><br /><br /><br /><br /></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-16596550985118436142008-07-22T19:53:00.000-07:002008-07-24T03:54:41.068-07:00เราเตอร์ (Router)<span style="font-family:arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#33ff33;">ข้อสอบ ปรนัย เรื่อง Router</span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#339999;"><br />1.ข้อดีของไฟร์วอลล์ เราเตอร์คือข้อใด<br />ก. เพิ่มฟังก์ชันการทำงานได้ไม่จำกัด<br /><span style="color:#ff0000;">ข. ประสิทธิภาพสูงมีจำนวนอินเตอร์เฟสมาก</span><br />ค. อาจมีความเสี่ยงจากระบบปฏิบัติการที่ใช้<br />ง. อาจต้องการหน่วยความจำมาก<br /><br />2.เราเตอร์ (Router) มีประโยชน์อย่างไร<br />ก.สามารถนำข้อมูลอื่นมาประกอบภายในได้ก็เรียกว่า "เฟรมรีเลย์" (Frame Relay)<br /><span style="color:#ff0000;">ข.เพื่อหาเส้นทางที่ส่งต่อ หากเส้นทาง ที่ส่งมาจากอีเทอร์เน็ต และส่งต่อออกช่องทางของ Port WAN ที่เป็นแบบจุดไปจุด</span><br />ค.อุปกรณ์เชื่อมโยง ทั้งหมดนี้รองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จากเครือข่ายพื้นฐานเป็นอีเทอร์เน็ต<br />ง.มีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้ใช้กับความเร็วของการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก<br /><br />3.เราเตอร์ (Router) คืออะไร<br /><span style="color:#ff0000;">ก.เราเตอร์จะรับข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้ามาตรวจสอบแอดเดรสปลายทางจากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับตารางเส้นทางที่ได้รับการโปรแกรมไว้</span><br />ข.อุปกรณ์สวิตช์มีหลายแบบ หากแบ่งกลุ่มข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเล็ก ๆ และเรียกใหม่ว่า "เซล" (Cell)<br />ค.เป็นอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกัน<br />ง.ถูกทุกข้อ<br /><br />4.เราเทอร์ทำงานบนเลเยอร์ที่เท่าไร<br />ก. เลเยอร์ที่1 ตามมาตรฐานของ <a title="OSI Model" href="http://th.wikipedia.org/wiki/OSI_Model">OSI Model</a><br />ข. เลเยอร์ที่2 ตามมาตรฐานของ <a title="OSI Model" href="http://th.wikipedia.org/wiki/OSI_Model">OSI Model</a><br /><span style="color:#ff0000;">ค. เลเยอร์ที่3 ตามมาตรฐานของ </span><a title="OSI Model" href="http://th.wikipedia.org/wiki/OSI_Model"><span style="color:#ff0000;">OSI Model</span></a><br />ง. เลเยอร์ที่4 ตามมาตรฐานของ <a title="OSI Model" href="http://th.wikipedia.org/wiki/OSI_Model">OSI Model</a><br /><br />5.อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คัดแยกแพ็กเก็ต หรือเรียอีกอย่างว่าอะไร<br />ก.เอทีเอ็มสวิตช์(ATM Switch)<br />ข.เซลสวิตช์" (Cell Switch)<br />ค.เฟรมรีเลย์" (Frame Relay)<br /><span style="color:#ff0000;">ง.สวิตช์แพ็กเก็ต ข้อมูล(Data Switched Packet)</span><br /><br />6.Router เป็นตัวชี้ทางเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตไปยัง<br />ก.Network<br />ข. User<br /><span style="color:#ff0000;">ค.ISP</span><br />ง. Email<br /><br />7ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย<br />ก.บริดจ์ (Bridge)<br />ข. เราเตอร์ (Router)<br />ค.สวิตช์ (Switch)<br /><span style="color:#ff0000;">ง.แลนด์ (Lan)</span><br /><br />8.เราเตอร์มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับอะไร<br />ก.ไอพีเราเตอร์ (IP router)<br />ข. เราเตอร์ (Router)<br />ค.สวิตช์แพ็กเก็ต ข้อมูล (Data Switched Packet)<br /><span style="color:#ff0000;">ง.สวิตช์ (Switch)</span><br /><span style="color:#ff0000;"></span><br />9.ในอินเทอร์เน็ตมักเรียกเราเตอร์ว่าอะไร<br /><span style="color:#ff0000;">ก. ไอพีเราเตอร์ (IP router)</span><br />ข. เราเตอร์ (Router)ค<br />ค. สวิตช์แพ็กเก็ต ข้อมูล (Data Switched Packet) </span></span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#339999;">ง. สวิตช์ (Switch)<br /><br />10.ในอินเทอร์เน็ตมักเรียกเราเตอร์ว่าอะไร<br /><span style="color:#ff0000;">ก. ไอพีเราเตอร์ (IP router)</span><br />ข. เราเตอร์ (Router)<br />ค. สวิตช์แพ็กเก็ต ข้อมูล (Data Switched Packet)<br />ง. สวิตช์ (Switch)<br /><br /></span></span><br /><br /></span></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-74708432044724093222008-07-08T19:50:00.000-07:002008-07-08T21:18:28.922-07:00การเข้าสาย LAN<span style="font-family:arial;"><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">การเข้าสาย LAN</span><br /><br />การเข้าหัวสาย UTP นั้นมีอยู่สองมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้คือ TIA/EIA 568A และ 568B ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการเรียงลำดับสายจะแสดงดังตารางและรูปด้านล่าง </span><br /><br /><p><span style="font-family:arial;"></p></span><br /><br /><br /><table class="MsoNormalTable" style="BORDER-RIGHT: red 1pt outset; BORDER-TOP: red 1pt outset; MARGIN: auto 6.75pt; BORDER-LEFT: red 1pt outset; WIDTH: 300pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt outset; mso-cellspacing: 0in; mso-border-alt: outset red .75pt; mso-padding-alt: 2.25pt 2.25pt 2.25pt 2.25pt; mso-table-lspace: 9.0pt; mso-table-rspace: 9.0pt; mso-table-anchor-vertical: page; mso-table-anchor-horizontal: page; mso-table-left: 294.45pt; mso-table-top: 252.05pt" cellspacing="0" cellpadding="0" width="400" align="left" border="1"><tbody><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><b><span style="font-family:arial;font-size:85%;">PIN # </span></b><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><b><span style="font-family:arial;font-size:85%;">Signal</span></b><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><b><span style="font-family:arial;font-size:85%;">TIA/EIA 568A</span></b><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><b><span style="font-family:arial;font-size:85%;">TIA/EIA 568B</span></b><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 1"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">1<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">Transmit+<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวเขียว</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวส้ม</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 2"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">2<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">Transmit+<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">เขียว</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ส้ม</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 3"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">3<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">Receive+<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวส้ม</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวเขียว</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 4"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">4<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">N/A<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">น้ำเงิน</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">น้ำเงิน</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 5"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">5<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">N/A<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวน้ำเงิน</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวน้ำเงิน</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 6"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">6<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">Receive+<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ส้ม</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">เขียว</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 7"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">7<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">N/A<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวน้ำตาล</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">ขาวน้ำตาล</span><o:p></o:p></p></td></tr><tr style="HEIGHT: 15pt; mso-yfti-irow: 8; mso-yfti-lastrow: yes"><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">8<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:85%;">N/A<o:p></o:p></span></span></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">น้ำตาล</span><o:p></o:p></p></td><td style="BORDER-RIGHT: red 1pt inset; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BORDER-TOP: red 1pt inset; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; BORDER-LEFT: red 1pt inset; WIDTH: 75pt; PADDING-TOP: 2.25pt; BORDER-BOTTOM: red 1pt inset; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-: inset red .75ptcolor:transparent;" width="100" ><p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0in 0in 0pt; TEXT-ALIGN: center; mso-element: frame; mso-element-frame-hspace: 9.0pt; mso-element-wrap: around; mso-element-anchor-vertical: page; mso-element-anchor-horizontal: page; mso-element-left: 294.5pt; mso-element-top: 252.05pt; mso-height-rule: exactly" align="center"><span lang="TH" style="font-family:arial;font-size:85%;">น้ำตาล</span><o:p></o:p></p></td></tr></tbody></table><br /><br /><span style="font-family:arial;"><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /></span><br /><p><span style="font-family:arial;"></span></p><p><span style="font-family:arial;"></p></span><br /><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#33ff33;">สาย UTP และหัวเชื่อมต่อแบบ RJ-45</span> </span><br /></span><span style="font-family:arial;"><br />การทำสายแพทช์คอร์ดหรือสายที่เชื่อมระหว่างฮับกับคอมพิวเตอร์นั้น ปลายทางทั้งสองข้างจะต้องเข้าตามมาตรฐาน TIA/EIA 568B ส่วนสายครอสโอเวอร์หรือสายที่เชื่อมระหว่างฮับกับฮับหรือคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์นั้น ปลายสายด้านหนึ่งต้องเข้าแบบ TIA/EIA 568A ส่วนปลายสายอีกด้านหนึ่งต้องเข้าแบบ TIA/EIA 568B<br /><br /><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#00cccc;">สายเคเบิ้ลในการเชื่อมต่อ</span><br /><br />ในการเชื่อมต่อแบบต่างๆ จะต้องใช้สายเคเบิ้ลเป็นตัวกลาง (Media) ซึ่งการใช้งานจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการเชื่อมต่อ เช่นแบบ Bus จะใช้สายเคเบิ้ล Coaxial, แบบ Star จะใช้สายเคเบิ้ล UTP สายเคเบิ้ลที่ใช้งานในระบบเน็ตเวิร์กจะมีอยู่ 3 ประเภทคือ<br /><br /><span style="color:#ff6666;">สาย Coaxial</span> เป็นสายเส้นเดียวมีลวดทองแดงเป็นแกนกลางหุ้มด้วยฉนวนสายยาง โดยจะมีลวดถักหุ้มฉนวนสายยางอีกชั้น (shield) ป้องกันสัญญาณรบกวน และมีฉนวนด้ายนอกเป็นยาง สีดำหุ้มอีกชั้น จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ อย่างหนา (thick) อย่างบาง (thin) ส่วนมากจะใช้งานบนระบบ Ethernet โดยที่ปลายสายทั้ง 2 ด้ายจะต้องมีตัว terminator ปิดด้วย มีความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำกว่าสายแบบ UTP สาย Coaxial อย่างบาง (thin) มีข้อเสียคือ ไม่สามารถใช้รับ-ส่งสัญญาณได้เกิน 185 เมตร อาจต้องใช้ตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ช่วยขยายสัญญาณให้<br /><br /><br /><span style="color:#ff6666;">สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) หรือสาย CAT (Category)</span> เป็นสายเส้นเล็กจำนวน 8 เส้นตีเกลียวคู่ มีอยู่ 4 คู่ ไม่มีเส้นลวดถัก (shield) เพราะการตีเกลียวคู่เป็นการลดสัญญาณรบกวนอยู่แล้ว การใช้งานจะต้องมีการแค๊มหัว RJ-45 เข้ากับสาย UTP แล้วนำไปเสียบเข้ากับ Hub มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 10/100Mbps ปัจจุบันนิยมใช้สาย CAT 5 กันมาก เพราะสนับสนุนการรับ-ส่งข้อมูลความเร็วตั้งแต่ 10-100 Mbps<br /><br /><br /><span style="color:#ff6666;">สาย STP (Shielded Twisted Pair)</span> เป็นสายเส้นคู่ตีเกลียวมีอยู่ 2 คู่ มีเส้นลวดถัก (shield) ป้องกันสัญญาณรบกวน ใช้งานในการเชื่อมต่อระยะทางไกลๆ ซึ่งสาย UTP ทำไม่ได้<br /><br /><br /><span style="color:#33ffff;">หัวต่อสายแลนด์</span><br />วต่อสายแลนด์จะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ BNC, RJ-45 และ AUI แต่ละประเภทจะใช้สายแลนด์แตกต่างกันไป รวมทั้งวิธีการเข้าหัวต่อก็ไม่เหมือนกัน<br /><br /><br /><span style="color:#ff6666;">หัวต่อแบบ BNC</span> จะใช้สายแลนด์แบบ Coaxial ซึ่งเป็นสายเส้นเดียวมีลวดทองแดง เป็นแกนกลาง หุ้มด้วยฉนวนสายยาง หัวต่อ BNC จะเป็นโลหะรูปวงกลมมีเกลียวสำหรับล๊อก และยังต้องใช้ตัว Terminator (มีความต้ายทาน 50 โอห์ม) ปิดปลายสายทั้ง 2 ด้ายอีกด้วย<br /><br /><br /><span style="color:#33ffff;">หัวต่อแบบ RJ-45</span> จะใช้สายแลนด์แบบ CAT (Category) 5 หรือ สาย UTP เป็นสายเส้นเล็กจำนวน 8 เส้น ตีเกลียวคู่ มีอยู่ 4 คู่ รูปแบบในการเข้าหัวต่อแบบ RJ-45 มีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ<br /><br />1. Peer to peer<br />2. มาตรฐาน TIA/EIA 568B<br /><br /><br /><span style="color:#000066;">Peer to peer</span> เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เครื่อง ด้วยสาย UTP เพียง 1 เส้น โดยเสียบหัวต่อ RJ-45 ไปที่การ์ดเน็ตเวิร์กของทั้งสองเครื่อง รูปแบบการเข้าสาย UTP กับหัวต่อ RJ-45<br /><br /><span style="color:#000099;">มาตรฐาน TIA/EIA 568B</span> เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับ ฮับ รูปแบบการเข้าสาย UTP กับหัวตัว RJ-45<br /><br />การเชื่อมต่อแบบ BUSโปรโตคอล Ethernet สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งแบบ Bus โดยใช้สาย Coaxial และแบบ Star ใช้สายทองแดงคู่ดีเกลียว (สาย UTP) การเชื่อมต่อแบบ Bus จะเป็นตามมาตรฐานของ 10Base2 เป็นรูปแบบเชื่อมต่อสายโดยใช้สาย Coaxial (โคแอกเชี่ยล) มีเส้นศูนย์กลาง ? นิ้ว เรียกว่า Thin Coaxial ความยาวโดยรวมของสายทั้งหมดจากเครื่องต้นทางถึงเครื่องปลายทางต้องไม่เกิน 180 เมตร บางทีก็เรียกสาย Coaxial ว่าสาย RG-58 (มีความต้านทาน 50 โอห์ม) การเชื่อมต่อแบนี้ไม่ต้องใช้ฮับเป็นตัวกลาง ทำให้มีต้นทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพการทำงานจะไม่ดีเท่าที่ควร วิธีการเชื่อมต่อสายระหว่างจุดต่อจะใช้ตัว T-Connector เป็นตัวกลาง และจะมีหัวต่อ BNC สำหรับต่อเข้ากับการ์ดเน็ตเวิร์ก และสิ่งสำคัญจะต้องมีตัว Terminator ปิดที่ปลายสายของทั้งสองด้าน<br /><br /><br />ปัจจุบันการเชื่อมต่อแบบ Bus ไม่เป็นที่นิยมใช้งาน เพราะมีความเร็วต่ำเพียง 10 เมกกะบิตต่อวินาทีและข้อจำกัดด้านความยาวของสาย<br /><br />ฮับ (Hub) ฮับ เป็นอุปกรณ์สำคัญในการเชื่อมโยงสัญญาณของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เน็ตเวิร์กเข้าด้วยกัน ปกติจะเป็นเครือข่ายแบบ Ethernet 10BaseT รูปแบบการเชื่อมต่อ หรือ LAN Topology จะเป็นแบบ Star การเชื่อมต่อแบบนี้จะใช้ฮับเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ ทุกเครื่องจะเชื่อมต่อผ่ายฮับและใช้สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) หรือ CAT5 กับหัวต่อแบบ RJ-45 ในการรับ-ส่งข้อมูล ฮับ จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) และฮับบางรุ่นยังสามารถตรวจจับข้อมูล (Data Detection) ต่างๆ เช่น Receive Sent Data, Jabbers, Collision Data, Short Frames<br /><br />ฮับ จะอัตราความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลตั้งแต่ 10 Mbps (Mega Bit per sec.) จนถึง 100 mbps และจะมีจำนวนช่องขนาดเล็กตั้งแต่ 4 ช่อง หรือเรียกว่า ฮับ 4 port (8 port, 12 port,16 port และ 24 port) การเลือกใช้การ์ดเน็ตเวิร์กก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับความเร็วของฮับ ถ้าใช้การ์ดเน็ตเวิร์กที่มีความเร็วเพียง 10 Mbps แล้วนำมาเชื่อมต่อกับฮับแบบ 10 Mbps จะทำให้มีอัตราความเร็วเพียง 10 Mbps เท่านั้น (หรือ ใช้การ์ดเน็ตเวิร์กที่มีความเร็ว 10 Mbps กับฮับแบบ 10 Mbps ก็จะทำให้อัตราความเร็วต่ำที่ 10 Mbps เช่นกัน) ฮับบางรุ่นจะมีพอร์ต Uplink เอาไว้เชื่อมต่อกับพอร์ตธรรมดาของฮับตัวอื่นเพื่อขยายช่องสัญญาณ และยังมีสวิตซ์ในการเลือกความเร็วระหว่าง 10 หรือ 100 Mbps<br /><br />การเชื่อมต่อแบบ Starการเชื่อมต่อแบบ Star จะเป็นตามมาตรฐานของ 10BaseT เป็นรูปแบบการใช้สาย Twisted Pair ในการรับ-ส่งมีความเร็ว 10/100 Mbps ด้วยสัญญาณแบบ Base band จะใช้สาย UTP (Unshield Twisted Pair) ซึ่งจะมีสายเล็กๆ ภายใน 8 เส้นตีเกลียวกัน 4 คู่ ความยาวของสายแต่ละเส้นจากเครื่องถึงฮับจะต้องไม่เกิน 100 เมตร (ทางที่ดีไม่ควรเกิน 80 เมตร เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน) ปัจจุบันนิยมใช้การเชื่อมต่อแบบนี้มากที่สุด</span><br /><br /></span></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-10145618522092821902008-07-03T20:12:00.001-07:002008-07-03T20:16:47.462-07:00ข่าวสารไอที<span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">อโดบีส่งทูลใหม่ ให้กูเกิลเสิร์ชเจอวีดีโอ"Flash"ง่ายขึ้น</span><br /><br /><br />ในอดีต เสิร์ชเอนจิ้นทุกค่ายไม่ว่าจะเป็นกูเกิลหรือยาฮูล้วนมีปัญหาสืบค้นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่สร้างจากโปรแกรมแฟลช (Flash) ได้ยากเพราะเป็นไฟล์ที่ไม่มีข้อความใดๆให้ระบบได้ตรวจสอบ ล่าสุด อโดบี (Adobe Systems) ระบุว่าทูลใหม่ของค่ายจะทำให้เสิร์ชเอนจิ้นสามารถค้นพบไฟล์วีดีโอแฟลชได้ง่ายขึ้น ส่งให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถค้นหาและชมไฟล์วีดีโอแฟลชที่ต้องการได้สะดวกโยธินกว่าเดิม </span><br /><span style="font-family:courier new;font-size:130%;">อโดบีเปิดตัวทูลใหม่ที่ว่านี้โดยพัฒนาจากซอฟต์แวร์ Flash Player แม้ผลที่ได้จะไม่ถึงขั้นที่ว่า เสิร์ชเอนจิ้นสามารถเข้าใจคอนเทนท์แฟลชได้เหมือนคนที่ได้ชมไฟล์วีดีโอจริงๆ แต่อโดบียืนยันว่า เสิร์ชเอนจิ้นจะสามารถจัดอันดับและทำดัชนีคอนเทนท์แฟลชที่หลายเว็บไซต์ใช้ทำเป็นเมนูหรือโฆษณาเคลื่อนไหวได้ง่ายและละเอียดขึ้นกว่าเดิม </span><br /><span style="font-family:courier new;font-size:130%;">สื่อต่างประเทศรายงานว่า ข้อจำกัดของทูลนี้คือ ระบบเสิร์ชเอนจิ้นจะยังคงจัดทำดัชนีได้เฉพาะจากชื่อไฟล์และข้อความอื่นๆที่แนบมากับไฟล์วีดีโอเท่านั้น ไม่ได้อัจฉริยะถึงขั้นแปลรูปภาพในวีดีโอแฟลชออกมาเป็นข้อความให้ระบบตรวจจับได้ ทั้งรูปภาพข้อความหรือสัญลักษณ์บนท้องถนน ซึ่งยังเป็นข้อจำกัดของระบบเสิร์ชเอนจิ้นในปัจจุบัน ที่แม้จะพัฒนาให้ระบบสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประเภทข้อความในคอนเทนท์แฟลชแบบพื้นฐานได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลประเภทนี้ได้อย่างทั่วถึง แม้จะมีข้อจำกัดนี้ แต่ Bill Coughran รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมของกูเกิลยอมรับว่า การพัฒนาใดๆที่ทำให้คอนเทนท์แฟลชวีดีโอสามารถสืบค้นเจอได้ง่าย ล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้อินเตอร์เน็ตโดยรวมทั้งสิ้น ทูลใหม่นี้ถูกส่งให้กูเกิลใช้งานแล้ว ขณะที่ยาฮูมีแผนจะใช้งานในเร็วๆนี้ โดยอโดบีจะขยายการซัปพอร์ตแก่เสิร์ชเอนจิ้นรายอื่นต่อไป และยืนยันว่า นักออกแบบเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือดำเนินการใดๆเพื่อรองรับทูลใหม่ตัวนี้</span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-82154866946308504362008-06-30T17:56:00.000-07:002008-06-30T18:03:03.084-07:00เรียนวันพุธที่ 25 มิถุนายน 2551<span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff6666;">ข้อสอบเรื่องเครือข่ายอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE 802.3</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">1 .อีเทอร์เน็ตถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทใด</span><br /><span style="font-family:arial;">ก.Xeoxr</span><br /><span style="font-family:arial;">ข.Xexor</span><br /><span style="font-family:arial;">ค.Xerox</span><br /><span style="font-family:arial;">ง.Xeorx</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย ค.</span><br /><span style="font-family:arial;"><br />2. อีเทอร์เน็ตได้พัฒนามาจากรากฐานบนเครือข่ายแบบใด<br />ก. Packet<br />ข. Radio<br />ค. Packet Radio<br />ง. Bus<br />เฉลย ค.<br /><br />3. อีเทอร์เน็ตมีความเร็วในการถ่ายข้อมูลครั้งแรกกี่เมกกะบิตต่อวินาที<br />ก. 1 เมกะบิตต่อวินาที<br />ข. 2 เมกะบิตต่อวินาที<br />ค. 3 เมกะบิตต่อวินาที<br />ง. 4 เมกะบิตต่อวินาที<br />เฉลย ค.<br /><br />4. การนำเสนอข้อมูลออกเป็นส่วนๆเรียกว่าอะไร<br />ก. แพกกิ้ง<br />ข. แพกก้า<br />ค. แพกเก็ต<br />ง. แพกเกต<br />เฉลย ง.<br /><br />5. อีเทอร์เน็ตใช้วิธีการส่งสัณญาณแบบใด<br />ก. เบสแบนด์<br />ข บอยแบนด์<br />ค. เบิร์นแบนด์<br />ง.แบนด์<br />เฉลย ก<br /><br />6. ฟาส์ตอีเทอรร์เน็ตเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร<br />ก. อีเทอร์เน็ตความเร็วต่ำ<br />ข.อีเทอร์เน็ตความเร็วสูง<br />ค. อีเทอร์เน็ตความเร็วช้า<br />ง.อีเทอร์เน็ตความเร็วปกติ<br />เฉลย ข<br /><br />7. ฟาสต์อีเทอร์เน็ตได้ถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งเครือข่ายในรูปแบบใด<br />ก. ดาว<br />ข. วงแหวน<br />ค. กระจาย<br />ง. ต่อเนื่อง<br />เฉลย ก<br /><br />8. เฟรมอีเทอร์เน็ตขนาดเล็กสุดจะมีความจุที่กี่ไบต์<br />ก. 72<br />ข. 75<br />ค. 85<br />ง. 82<br />เฉลย ก<br /><br />9. ฟาส์ตอีเทอเน็ตไม่สนับสนุนในการเชื่อมต่อแบบใด<br />ก. วงแหวน<br />ข.ดาว<br />ค.แพกเกต<br />ง. บัส<br />เฉลย ง<br /><br />10. อีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแตกต่างจากอีเทอร์เน็ตอย่างไร<br />ก. การรับส่งข้อมูล<br />ข. สายCAT5e<br />ค. การ์ดเครือข่าย<br />ง. สายUTP<br />เฉลย ค<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">ข้อสอบปรนัยคำสั่งตรวจซ่อม</span><br /><br />1. คำสั่ง Ping ใช้ในการตรวจสอบอะไร<br />ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง<br />ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง<br />ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ<br />ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง<br />เฉลย ค<br /><br />2. คำสั่ง ipconfig ในการตรวจสอบอะไร<br />ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง<br />ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง<br />ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ<br />ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง<br />เฉลย ก<br /><br />3. คำสั่ง ART ใช้ในการตรวจสอบอะไร<br />ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง<br />ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง<br />ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ<br />ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง<br />เฉลย ข<br /><br />4. คำสั่ง nslooknp<br />ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง<br />ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง<br />ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ<br />ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง<br />เฉลย ง<br /><br />5. วิธีใช้คำสั่ง Ping มีวิธีการแบบใด<br />ก. start --- Run ---ms-Dos Prompt<br />ข. start---Programs---ms-Dos prompt<br />ค. Start---program---Run<br />ง. start---shutdown---ok<br />เฉลย ข<br /><br />6. ถ้าต้องการตรวจสอบ Option ของ Ping ควรใช้คำสั่งแบบใด<br />ก. Ping ?<br />ข. Ping /?<br />ค. Ping/=<br />ง.Ping<br />เฉลย ข<br /><br />7. วิธีการตรวจสอบคำสั่ง Ping ใช้โปรแกรมใด<br />ก.shert<br />ข. Dos<br />ค. Run<br />ง. controipanal<br />เฉลย ค<br /><br />8. คำสั่ง neststat ใช้ในการตรวจสอบอะไร<br />ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง<br />ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง<br />ค. ดูแลสถิติในระบบ<br />ง.ตรวจสอบขั้วปลายทาง<br />เฉลย ค<br /><br />9. คำสั่งอื่นๆที่น่าสนใจคือคำสั่งอะไร<br />ก. Cast<br />ข. grat<br />ค. ipconfig/all<br />ง.Ping /?<br />เฉลย ค<br /><br />10. คำสั่งในการตรวจซ่อมทั้งหมดมีกี่คำสั่ง<br />ก. 5<br />ข. 6<br />ค. 7<br />ง. 8<br />เฉลย ค</span><br /></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-2741285163407261572008-06-18T08:36:00.000-07:002008-06-21T04:34:03.170-07:00เรียนวันพุธที่ 18 มิถุนายน 2551<span style="font-size:180%;"><span style="color:#ff6666;"><span style="font-family:arial;">ออกข้อสอบ ปรนัย (พร้อมเฉลย) 10 ข้อ</span><br /></span></span><span style="font-family:Arial;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:arial;">1. mark 6 bit class A ได้กี่ subnet</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 2^6 = 64 -2 =62</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 2^6 = 32 -2 =30</span><br /><span style="font-family:arial;">c. 2^6 = 19- 2 =17</span><br /><span style="font-family:arial;">d. 2^6 = 24 -2 =22</span><br /><span style="font-family:arial;">เ</span><span style="font-family:arial;">ฉลย a</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">2. mark 4 bit class A ได้หมายเลขsubnetอะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 255.255.194.0</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 255.194.132.0</span><br /><span style="font-family:arial;">c. 255.240.0.0</span><br /><span style="font-family:arial;">d. 255.255.255.0</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย c</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">3. mark 5 bit class B ได้กี่ subnet</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 2^5 = 25-2=23</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 2^5 = 32-2=30</span><br /><span style="font-family:arial;">c. 2^5 = 45-2=43</span><br /><span style="font-family:arial;">d. 2^5 = 57-2=55</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย b</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">4. mark 6 bit class A ได้เลขhostอะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 2^18=262144-2=262142</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 2^21=2097152-2=2097150</span><br /><span style="font-family:arial;">C. 2^11=2048-2=2046</span><br /><span style="font-family:arial;">D. 2^20=1048576-2=1048574</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย a</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">5. mark 4 bit class C ได้เล ขsubnetอะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 255.254.0.0</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 255.255.255.254</span><br /><span style="font-family:arial;">c. 255.255.255.242</span><br /><span style="font-family:arial;">d. 255.192.142.0</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย c</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">6. mark 2 bit class A ได้กี่subnet</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 2^2 = 64 -2 =62</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 2^2 = 32 -2 =30</span><br /><span style="font-family:arial;">c. 2^2 = 19- 2 =17</span><br /><span style="font-family:arial;">d. 2^2 = 4 - 2 =2</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย d</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">7.mart 5 bit ได้กี่ Subnet ของ Class C</span><br /><span style="font-family:arial;">a. 2^5 = 8 - 2 = 6</span><br /><span style="font-family:arial;">b. 2^5 = 32 -2 = 30 </span><br /><span style="font-family:arial;">c. 2^3 = 8 - 2 = 6 </span><br /><span style="font-family:arial;">d. 2^3 = 10 -2 = 8 </span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย b</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">8.mart 4 bit ได้กี่ Host ของ Class A</span><br /><span style="font-family:arial;">a.2^4 = 16 - 2 = 14 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">b.2^4 = 8 - 2 = 6 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">c.2^20 = 1048576 - 2 = 1048574 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">d.2^20 = 1048426 - 2 = 1048424 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย c</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">9. mark 3 bit ได้กี่ Host ของ Class B</span><br /><span style="font-family:arial;">a.2^3 = 8 - 2 = 6 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">b.2^3 = 6 - 2 = 4 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">c.2^13 = 26 -2 = 24 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">d.2^13 = 8192 - 2 = 8190 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลยd</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">10.mart 6 bit ได้กี่ Host ของ Class C</span><br /><span style="font-family:arial;">a.2^6 = 12 - 2 = 10 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">b.2^2 = 4 - 2 = 2 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">c.2^6 = 64 - 2 = 62 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">d.2^3 = 6 -2 = 4 Host</span><br /><span style="font-family:arial;">เฉลย b</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff6666;">ออกข้อสอบ อัตนัย (พร้อมเฉลย) 10 ข้อ</span><br /><span style="font-family:Arial;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:arial;">1.mark 6 bit ของ Class B ได้กี่ Host</span><br /><span style="font-family:arial;">= 2^10 = 1024 - 2 = 1022 Host</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">2.mark 5 bit Class B หมายเลข Subnet อะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">=255.255.248.0</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">3.mark 5 bit ของ Class A ได้กี่ Subnet</span><br /><span style="font-family:arial;">= 2^5 = 32 - 2 = 30 Subnet</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">4.mark 3 bit Class C หมายเลข subnet อะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">=255.255.255.224</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">5.mark 7 bit ของ Class C ได้กี่ Subnet</span><br /><span style="font-family:arial;">=2^7 = 128 - 2 = 126 Subnet</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">6.mark 3 bit ของ Class C ได้กี่ Host</span><br /><span style="font-family:arial;">=2^5 = 32 -2 = 30 Host</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">7.mark 6 bit ของ Claass B ได้กี่ subnet</span><br /><span style="font-family:arial;">= 2^6 = 64 - 2 = 62 Subnet</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">8.mark 6 bit Class A หมายเลข Subnet อะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">=255.252.0</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">9.mark 5 bit ของ Class A ได้กี่ Host</span><br /><span style="font-family:arial;">= 2^19 = 524288 - 2 = 524286 Host</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">10.mark 6 bit Class A หมายเลข Subnet อะไร</span><br /><span style="font-family:arial;">=255.252.0.0 </span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="color:#ff6666;"><span style="font-size:180%;">Ethernet</span><br /><br />ความหมายของIEEE 802.3</span><br /><br />IEEE 802.3 หรือ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็นเครือข่ายที่มีความเร็วสูงการส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาที สถานีในเครือข่ายอาจมีโทโปโลยีแบบัสหรือแบบดาว IEEE ได้กำหนดมาตรฐานอีเทอร์เน็ตซึ่งทำงานที่ความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาทีไว้หลายประเภทตามชนิดสายสัญญาณ เช่น<br />• 10Base5 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา (Thick Ethernet)ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 500 เมตร• 10Base2 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอ๊กเชียลแบบบาง (Thin Ethernet) ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 185 เมตร• 10BaseT อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบดาวซึ่งใช้ฮับเป็นศูนย์กลาง สถานีและฮับเชื่อมด้วยสายยูทีพี (Unshield Twisted Pair) ด้วยความยาวไม่เกิน 100 เมตร<br /><br /><br />คำว่า “Base” หมายถึงสัญญาณชนิด “Base” รหัสถัดมาหากเป็นตัวเลข หมายถึง ความยาวสายต่อเซกเมนต์ในหน่วยหนึ่งร้อยเมตร (5=500, 2 แทนค่า 185) หากเป็นอักษร จะหมายถึงชนิดของสาย เช่น T คือ Twisted pair หรือ F คือ Fiber optics<br /><br /><br />ส่วนมาตรฐานอีเทอร์เน็ตความเร็ว 100 เมกกะบิตต่อวินาทีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่ 100BaseTX และ 100BaseFX สำหรับอีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบกิกะบิตอีเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างของมาตรฐานกิกะบิตอีเทอร์เน็ตในปัจจุบันได้แก่ 100BaseT, 100BaseLX และ 100BaseSX เป็นต้น<br /><br /><br />อีเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล ซีเอสเอ็มเอ/ซีดี (CSMA/CD : Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) เป็นตัวกำหนดขั้นตอนให้สถานีเข้าครอบครองสายสัญญาณ ในขณะเวลาหนึ่งจะมีเพียงสถานีเดียวที่เข้าครองสายสัญญาณเพื่อส่งข้อมูล สถานีที่ต้องการส่งข้อมูลต้องการตรวจสอบสายสัญญาณว่ามีสถานีอื่นใช้สายอยู่หรือไม่ ถ้าสายสัญญาณว่างก็ส่งข้อมูลได้ทันที หากไม่ว่างก็ต้องคอยจนกว่าสายสัญญาณว่างจึงจะส่งข้อมูลได้ ขณะที่สถานีหนึ่ง ๆ กำลังส่งข้อมูลก็ต้องตรวจสอบสายสัญญาณไปพร้อมกันด้วยเพื่อตรวจว่าในจังหวะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นมีสถานีอื่นซึ่งพบสายสัญญาณว่างและส่งข้อมูลมาหรือไม่ หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นแล้ว ข้อมูลจากทั้งสองสถานีจะผสมกันหรือเรียกว่า การชนกัน (Collision) และนำไปใช้ไม่ได้ สถานีจะต้องหยุดส่งและสุ่มหาเวลาเพื่อเข้าใช้สายสัญญาณใหม่ ในเครือข่ายอีเทอร์เน็ตที่มีสถานีจำนวนมากมักพบว่าการทานจะล่าช้าเพราะแต่ละสถานีพยายามยึดช่องสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลและเกิดการชนกันเกือบตลอดเวลา โดยไม่สามารถกำหนดว่าสถานีใดจะได้ใช้สายสัญญาณเมื่อเวลาใด อีเทอร์เน็ตจึงไม่มีเหมาะกับการใช้งานในระบบจริงนางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-79132711075623332292008-06-11T06:42:00.000-07:002008-06-11T21:20:21.751-07:00เรียน 11 มิถุนายน 2551<span style="color:#33ff33;"><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:130%;color:#ff6666;">basic ‘s datacommunicationCommunication</span> </span><br /></span><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">การย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์เทคโนโลยีสมัยนี้มีการเชื่อมต่อกันทั่วโลกWhy Study Data Communication? เพื่อที่จะได้วิธีการย้ายข้อมูลที่ถูกต้อง และในสมัยก่อนมีความลำบากมากในการสื่อสาร จึงนำมาเป็นตัวแทนในการสื่อสารนิยามการสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล หมายถึง กระบวนการถ่ายทอด หรือการรับ-ส่งข้อมูล จากจุดใดจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ผ่านสื่อชนิดใดๆก็ได้ โดยข้อมูลจะหมายถึง ข้อความ รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ก็ได้ การสื่อสารข้อมูลโดยปกติเกิดขึ้นระหว่าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:180%;color:#33ff33;"><span style="color:#ff6666;">ความหมาย ของ Basic’s IP Address</span><br /></span><br />IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด<br />การสื่อสารและรับส่งข้อมูลในระบบ Internet สิ่งสำคัญคือที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความถูกต้องแม่นยำ จึ่ง ได้มีการกำหนดหมายเลขประจำเครื่องที่เราเรียกว่า IP Address และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำกัน จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า Inter NIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง Inter NIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครื่อง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ 1. Network Address 2. Computer Address การแบ่งขนาดของเครือข่าย เราสามารถแบ่งขนาดของการแจกจ่าย Network Address ได้ 3 ขนาดคือ<br />1. Class A nnn.ccc.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 1-126) เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากที่สุดถึง 16 ล้านหมายเลข<br />2. Class B nnn.nnn.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 128-191) เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากเป็นอันดับสอง คือ 65,000 หมายเลข<br />3. Class c nnn.nnn.nnn.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 192-233) เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้น้อยที่สุด คือ 256 หมายเลข<br />nnn หมายถึง Network Address ccc หมายถึง Computer Address หมายเลขต้องห้าม เนื่องจากเครือข่ายก็อาจจำเป็นต้องใช้ IP Address ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการจำกัดบางหมายเลขเพื่อใช้เป็นการภายใน ได้แก่<br />1. Class A ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx<br />2. Class B ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx<br />3. Class C ตั้งแต่ 192.168.0.xxx ถึง 192.168.255.xxx<br />สำหรับภายในองค์กร ก็มีหมายเลขต้องห้ามเช่นกัน ได้แก่<br />1. 127.xxx.xxx.xxx หมายเลขนี้ใช้สื่อสารกับตัวเอง<br />2. 0.0.0.0<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">แปลง IP</span> </span><br /><span style="font-family:arial;"><br />209.123.226.168<br />11010001 01111011 11100010 10101000 </span><br /><span style="font-family:arial;"><br />198.60.70.81<br />11000110 00111100 01000110 01010001<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">CIDR</span><br /><br />/22<br />11111111.11111111.11111100.00000000<br />Subnet Mask = 255. 255. 252. 0<br />จำนวน Host = (2^10) - 2 = 1024 - 2 = 1022 Host<br /><br />/18<br />11111111.11111111.11000000.00000000<br />Subnet Mask = 255. 255. 192. 0<br />จำนวน Host = (2^14) -2 = 16384 -2 = 16382 Host<br /><br />/27<br />11111111.11111111.11111111.11100000<br />Subnet Mask = 255. 255. 255. 240<br />จำนวน Host = (2^5) – 2 = 32 – 2 = 30 Host<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">ข้อสอบเรื่อง IP 5 ข้อ</span> </span><br /><span style="font-family:arial;"><br />1. IP Address มีอยู่กี่บิต<br />ก. 4 บิต<br />ข. 8 บิต<br />ค. 16 บิต<br />ง. 32 บิต<br />เฉลย ง. 32 บิต<br /><br /><br />2. IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คืออะไร<br />ก. Network Address และ Computer Address<br />ข. Computer Address และ Internet Address<br />ค. Network Address และ Internet Address<br />ง. ถูกทุกข้อ<br />เฉลย ก. Network Address และ Computer Address<br /><br />3. 209.123.226.168 อยู่ในclass อะไร<br />ก. Class A<br />ข. Class B<br />ค. Class C<br />ง. Class D</span><br /></span><span style="font-family:arial;">เฉลย ค. Class C </span><br /><span style="font-family:arial;"><br />4. การจำกัดบางหมายเลขเพื่อใช้เป็นการภายใน หมายเลขใดที่อยู่ใน class B<br />ก. ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx<br /></span><a name="OLE_LINK2"></a><a name="OLE_LINK1"><span style="font-family:arial;">ข. ตั้งแต่ </span></a><span style="font-family:arial;">172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx<br />ค. ตั้งแต่ 192.168.0.xxx ถึง 192.168.255.xxx<br />ง. ไม่มีข้อถูก<br />เฉลย ข. ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx </span><br /></span><span style="font-family:arial;"><br />5. สำหรับภายในองค์กร ก็มีหมายเลขต้องห้ามใช้คือหมายเลขใด<br />ก. 127.xxx.xxx.xxx<br />ข. 0.0.0.0<br />ค. ถูกทั้งข้อ ก และ ข<br />ง. ไม่มีข้อถูก<br />เฉลย ค. ถูกทั้งข้อ ก และ ข<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">ข้อสอบเรื่อง CIDR 5 ข้อ</span></span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. CIDR มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร<br />ก. Super net<br />ข. subnet<br />ค. broadcast<br />ง. ไม่มีข้อถูก<br />เฉลย ก. Super net</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">2. ข้อใดคือ Subnet Mask ของ IP address 45 . 23 . 21 . 8<br />ก. 255 . 255 . 0 . 0<br />ข. 255 . 255 . 255 . 0<br />ค. 255 . 192 . 0 . 0<br />ง. 255 . 255 . 255 . 240<br />เฉลย ก. 255 . 255 . 0 . 0</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">3. หมายเลข Host มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร<br />ก. Prefix<br />ข. Suffix<br />ค. Perfix<br />ง. ถูกทั้งข้อ ก และ ค<br />เฉลย ข. Suffix</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">4. Subnet Mask = 255. 255. 255. 240 แปลงเป็นเลขฐานสองได้ข้อใด<br />ก. 11000110 00111100 01000110 01010001<br />ข. 11111111 11111111 11111100 00000000<br />ค. 11111111 11111111 11000000 00000000<br />ง. 11111111 11111111 11111111 11100000<br />เฉลย ง. 11111111 11111111 11111111 11100000</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">5. Subnet Mask ของ Length (CIDR) /7 คือข้อใด<br />ก. 248.0.0.0<br />ข. 252.0.0.0<br />ค. 254.0.0.0<br />ง. 255.0.0.0<br />เฉลย ค. 254.0.0.0<br /></span><br /><br /></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-49747649403039497992008-06-10T21:06:00.000-07:002008-06-10T21:08:51.643-07:00แปลงเลขฐาน<span style="font-family:arial;">202.29.57.2</span><br /><span style="font-family:arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">11001010 00011101 00111001 00000010</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;">clas C</span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-88960197722253591352008-06-10T19:33:00.001-07:002008-06-10T19:34:53.694-07:00ข้อสอบเรื่อง OSI Modelข้อสอบเรื่อง OSI Model<br />1. ข้อใดอธิบาย ความหมายของ OSI Model ได้ถูกที่สุด<br />ก. เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูลซึ่งอาจจะพัฒนาได้ทั้งแบบเป็น Software และ Hardware<br />ข. เป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงถึงวิธีการในการส่งข้อมูลจาก Computer เครื่องหนึ่งผ่านNetwork ไปยัง Computer อีกเครื่องหนึ่ง<br />ค. เป็นข้อมูลที่ส่งในระบบเครือข่ายมีหลายรูปแบบที่หลากหลาย<br />ง. ถูกทั้งข้อ ก และ ค<br />เฉลย ข. เป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงถึงวิธีการในการส่งข้อมูลจาก Computer เครื่องหนึ่งผ่านNetwork ไปยัง Computer อีกเครื่องหนึ่ง<br /><br />2. Layer7, Application Layer ทำหน้าที่อะไร<br />ก. ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคำสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้คอมพิวเตอร์แปลความหมาย และทำงานตามคำสั่งที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์<br />ข. เป็นชั้นที่ทำหน้าที่ตกลงกับคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งในชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรมประยุกต์จะมีขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร<br />ค. เป็น Layer ที่ควบคุมการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทางแบบ End to End และคอยควบคุมช่องทางการสื่อสารในกรณีที่มีหลายๆ โปรเซสต้องการรับส่งข้อมูลพร้อมๆกันบนเครื่องเดียวกัน<br />ง. ทำหน้าที่ประกอบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้รับมาจาก Layer ล่าง และให้บริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการส่ง (error recovery) ทำหน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้ถูกส่งไปถึงยังเครื่องปลายทางและได้รับข้อมูลถูกต้องเรียบร้อยแล้ว<br />เฉลย ก. ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคำสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้คอมพิวเตอร์แปลความหมาย และทำงานตามคำสั่งที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์<br /><br /><br />3. Datagram เป็นหน่วยข้อมูลที่อยู่ระดับใด<br />ก. หน่วยของข้อมูลในระดับ Datalink Layer<br />ข. หน่วยของข้อมูลในระดับ Network Layer<br />ค. หน่วยของข้อมูลในระดับ Network Layer ที่มีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ Connectional Less<br />ง. หน่วยของข้อมูลในระดับ Transport Layer<br />เฉลย ค. หน่วยของข้อมูลในระดับ Network Layer ที่มีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ Connectional Less<br /><br /><br />4. Layer ใดของ OSI Model ที่ทำหน้าที่ ทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อ, การจัดการระหว่างการเชื่อมต่อ และการตัดการเชื่อมต่อคำว่า<br />ก. Session Layer<br />ข. Transport Layer<br />ค. Network Layer<br />ง. Datalink Layer<br />เฉลย ก. Session Layer<br /><br /><br />5. ข้อมูลที่ส่งในระบบเครือข่ายมีหลายรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการออกแบบของอะไร<br />ก. Presentation<br />ข. Session<br />ค. Network<br />ง. Application<br />เฉลย ง. Application<br /><br /><br />เอกสารอ้างอิง<br />http://support.mof.go.th/lan/osi.htmนางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-91845134192250896192008-06-03T21:05:00.000-07:002008-06-03T22:14:14.229-07:00ข้อสอบแอสกี<span style="font-family:arial;">ข้อสอบแอสกี 3 ข้อ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. รหัสแอสกีเริ่มต้นใช้ครั้งแรกในปี </span><a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%84.%E0%B8%A8._1967"><span style="font-family:arial;">ค.ศ. 1967</span></a><span style="font-family:arial;"> มีอักขระกี่ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ก. 124 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ข. 126 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ค. 128 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ง. 130 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"></span><br /><p>เฉลย ค. 128 ตัว</p><p><span style="font-family:arial;">2.รหัสแอสกีได้รับการปรับปรุงล่าสุดเมื่อ<span style="color:#000000;"> </span></span><a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%84.%E0%B8%A8._1986"><span style="font-family:arial;color:#000000;">ค.ศ. 1986</span></a><span style="font-family:arial;"> ให้มีอักขระทั้งหมดกี่ตัว</span></p><br /><span style="font-family:arial;">ก. 246 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ข. 256 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ค. 266 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ง.. 276 ตัว</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;">เฉลย ข. 256 ตัว</span><br /><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><br /><span style="font-family:Arial;">3.♥ อักขระตัวนี้หมายถึงข้อใด</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;">ก. SOH - start of heading</span><br /><span style="font-family:Arial;"><br />ข. STX - start of text<br /><br />ค. </span><span style="font-family:Arial;">ETX - end of text</span><br /></span><span style="font-family:Arial;"><br />ง. EOT - end of transmission<br /><br /></span><br /></span>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3958087254740836531.post-44535448829550728752008-06-03T19:32:00.000-07:002008-06-03T22:21:41.634-07:00แนะนำตัวเอง<div align="left"><span style="font-family:arial;">ชื่อ นางสาวสายรุ่ง พงษ์วัน</span></div><div align="left"><span style="font-family:Arial;">รหัสนักศึกษา 4912252148</span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;">เบอร์โทรศัพท์ 0876469143</span></div><div align="left"><span style="font-family:Arial;"></span> </div><div align="left"><span style="font-family:Arial;"></span> </div><div align="left"><span style="font-family:Arial;"></span></div><div align="left"><span style="font-family:Arial;"></span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;">SAYRUNG </span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;">53,41,59,52,55,4E,47 </span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;">01010011 01000001 01011001 01010010 01010101 01001110 01000111</span></div><div align="left"><span style="font-family:Arial;"></span> </div><div align="left"> </div><div align="left"><span style="font-family:arial;"></span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;"></span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;">0876469143</span></div><div align="left"><span style="font-family:Arial;">91,99,98,97,95,97,9A,92,95,94</span></div><div align="left"><span style="font-family:Arial;">10010001 10011001 10011000 10010111 10010101 10010111 10011010 10010010 10010101 10010100</span></div>นางสาวสายรุ่ง พงษ์วันhttp://www.blogger.com/profile/13316998869517238954noreply@blogger.com0